ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา เขียนเองโดย telwada

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 24 ตุลาคม 2008.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    แล้ว ทำไม ในทางพุทธศาสนา จึง กล่าวในหลักการปฏิบัติ ไว้ว่า
    ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา
    ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ ศีลจะเกิดมีได้
    ก็ต่อเมื่อบุคคลได้ ดำริ(คิด) หรือ ระลึก(นึกถึง)
    เพราะเมื่อบุคคลมีจิตใจจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สมาธิ ก็จะเกิดขึ้น
    เมื่อสมาธิเกิด ก็จะเกิดปัญญา คือสามารถนำเอาความรู้ ความเข้าใจ
    จากความจำในสมอง มาใช้ประพฤติ ปฏิบัติ หรือ กระทำการ
    ประกอบกิจการใดใดได้ อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
    ดังนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา
    ในคำว่า ศีล จึงมิได้หมายข้อศีลใดใด แต่หมายถึงการ คิด หรือระลึก(นึกถึง)
    เช่น ถ้าเรามีความต้องการจะพิจารณาในข้อศีล ขณะที่เราเกิดความต้องการนั้น
    สมาธิได้เกิดขึ้นชั้นหนึ่งแล้ว เมื่อสมองได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับศีล และปรุงแต่ง
    ตามแต่ประสบการณ์ ความจำ ความรู้ และอื่นๆ สมาธิก็จะเป็นปัจจัยประกอบ
    ที่จะคอยควบคุม บังคับให้บุคคลนั้นๆ ระลึกนึกถึง และคิดพิจารณา เพื่อทำความเข้าใจ
    ในข้อศีล หรืออื่นใดก็ตาม เมื่อเกิดความเข้าใจ ความรู้ หรือ ปัญญา ก็เกิดขึ้น
    ปัญญา นั้นแท้จริงแล้ว หมายถึง ความรู้ ที่บุคคลนั้นๆ มีความเข้าใจอย่างละเอียด
    ในระดับหนึ่ง และสามารถนำ เอาความรู้ดังกล่าวมาเปลี่ยนเป็นการประพฤติ การปฏิบัติ
    หรือใช้ในการทำงานใดใดได้เป็นอย่างดี อย่างนี้จึงเรียกปัญญา
    เพราะความรู้ ในตัวบุคคลมีอยู่หลายประเภท หลายอย่าง ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลนั้น
    ไม่ว่าจะเป็น ความรู้จากประสบการณ์ ความรู้จากการเรียนรู้ทางสังคมสิ่งแวดล้อม
    ความรู้จากการศึกษาเล่าเรียน ตามหลักวิชาการ หรือความรู้จากการศึกษาเล่าเรียนด้วย
    ตัวเอง จากการดู จากการทำ หากไม่ได้นำมาใช้หรือไม่ได้ใช้ ก็ไม่เรียกว่าปัญญา
    ต่อเมื่อนำออกมาใช้ได้อย่างเป็นผลดีต่อการประกอบกิจการ หรืองานใดใด นั่นแหละคือ
    ปัญญา
    ในทำนองเดียวกัน ถ้าบุคคลใดใด มีความรู้ในหลักธรรมคำสอนทางศาสนา รวมไปถึง
    มีความรู้ ความเข้าใจในหลักปฏิบัติ แต่มิได้ประพฤติ ปฏิบัติ หรือมิได้ใช้หลักธรรม
    หรือการปฏิบัติเหล่านั้น ออกมา ก็ไม่เรียกว่า ปัญญา แต่จะเรียกว่า ความรู้ ความจำ
    ต่อเมื่อบุคคลนั้น ประพฤติ ปฏิบัติ เช่นคิดพิจารณา ปฏิบัติธรรม จนเกิดความเข้าใจ
    สามารถใช้ศีลใช้ธรรม ใดใด ได้อยู่เสมอ นั่นแหละคือ ปัญญา
    หรือจะกล่าวอีกรูปหนึ่ง หากบุคคลสามารถคิดพิจารณาในข้อศีลจนเกิดความเข้าใจ
    อย่างละเอียดตามแต่ประสบการณ์อย่างถ่องแท้ นั่นแหละคือปัญญา
    เนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ แปลกประหลาดมหัศจรรย์ เมื่อบุคคลเกิดความ
    เข้าใจในเรื่องใดอย่างละเอียดลึกซึ้งและจดจำไว้ อยู่เนืองๆ ระบบพฤติกรรมจาก กาย
    วาจา และใจ ก็จะเป็นไป ตามความรู้ความเข้าใจที่เกิดมีขึ้น ซึ่งเรียกว่า ปัญญา
     
  2. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    ลูกขอกราบพระศาสดา

    ว่าแต่เจ้าของกระทู้ เหงามั๊ยท่าน เงียบเชียว
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กระผมมีความคิดว่านะขอรับ.....ศีลนี้หากเราทำประจำๆยึดมั่นประจำๆแล้วคือปกติเหมือนดังท่านกล่าวไว้จริงๆครับ...หากเราเผลอนี่ไปผิดศีลไม่ปกติแล้วครับ..ตัวเองผิดปกติ..ไม่ใช่ศีลผิดปกติ

    การเข้ามารู้มาศึกษาธรรมมะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของชนชาวพุทธแน่นอนเลยครับกระผม..เพราะการที่เรารู้เองนี่รู้ครับร่อนเร่เนจรรู้ไป...รู้ก็เฉยๆเสียก็ดีไม่ใส่ใจ....แต่พอหากเรามารู้ธรรมเข้าใจธรรมข้อกำหนดข้อยกเว้นยุ่งยากมาก...หากเป็นคนที่ไม่ลืมพระคุณคนอีกไปไหนไม่รอด...ติดครับ..สู้เล่นคนเดียวไปคนเดียวสนุกกว่าแต่ธรรมมะมีหลักการมีข้ออ้างข้อเสนอที่มีจุดจบคือ.....หากกล่าวแล้วได้รับความสว่างแล้วไม่มีข้อโต้แย้ง....หากยอมรับเหตุนั้นผลนั้นเท่านั้นเองขอรับรู้แล้วไม่ถามต่อคือปราศจาคคำถามต่อไปแล้ว

    หากยึดมั่นในคุณความดีอยู่ที่ไหนอย่างไรก็สุขเป็นขอรับ.....เมื่อเราพอเสียแล้วอย่างอื่นก็ไม่ขนไปแล้วหนักเปล่าๆจริงไหมขอรับ

    ขอให้ท่านพิจารณาอย่างกลางๆนะขอรับ.....อย่าประมาทในความเห็นสิ่งไหนดีก็เอาสิ่งไหนไม่ดีก็ทิ้งเสีย...กราบขอบพระคุณยิ่งแล้วครับ
     
  4. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คำถามที่ว่า "เหงาไหม"
    คุณคงมีความหมายว่า ไม่มีใครเข้ามาคุยด้วย หรืออยุ่คนเดียว หรือจิตใจเปล่าเปลี่ยว ไม่คึกคัก

    คำตอบก็คือ......
    ไม่เหงาขอรับ มนุษย์ทุกคน ล้วนต้องมีการเสวนาสังคมกันบาง อยู่คนเดียวบ้าง เมื่อเข้าในสังคมคนหมุ่มาก แล้วไม่เกิดความเหงา เพราะบุคคลนั้น เอาใจจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ในกิจกรรมนั้นๆ
    จึงเกิดความสุข สนุกสนาน
    เช่นเดียวกัน ถ้าอยู่คนเดียว ก็ย่อมไม่เกิดความเหงา เปล่าเปลี่ยวใจ เพราะรู้ อยู่แล้ว ก็ย่อมต้องมีวิธีการคลายเหงา นั่นก็คือ สมาธิ ขอรับ
    ถ้าเราไม่คิดอะไร ไม่มีเหงาขอรับ

    อีกทั้งที่คุณ มะหน่อกล่าวมานั้น ขอท้วงติง สักนิดว่า การยึดถือข้อศึล ปฏิบัติตามศีล ไม่มีคำว่า "ผิดศีล" อันหมายถึง การไม่ปฏิบัติ ตามข้อศีล ไม่มีขอรับ
    เพราะมีเหตุพิจารณามากมาย ถ้าเรานำข้อศีลเหล่านั้นมานั่ง นอน พิจารณา ความเหงาไม่เกิด แถมยังสนุก เพราะยิ่งพิจารณา ก็จะยิ่งได้รู้ถึง ความซับซ้อน ของกระบวนการของระบบสมอง ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ
    ศีลที่มีอยู่ในศาสนาใดใด ก็ตาม ไม่ได้มีไว้บังคับให้กระทำตาม ถ้าไม่กระทำจะผิด ศีล เหมือนกับการกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่ขอรับ โดยเฉพาะศีลในศาสนาพุทธ และไม่ถือว่าผิดปกติขอรับ เว้นแต่ศีลในศาสนาอื่นๆบางศาสนาที่เขานำไปเป็นกฎหมายบ้านเมือง
    เพราะศีลในพุทธศาสนานั้น มีไว้เพื่อบุคคลละเว้น คือ เว้นจากสิ่งที่บัญญัติไว้ เช่น เว้นจากการฆ่าสัตว์ฯ ที่ให้เว้นก็เพราะ สิ่งเหล่านั้นเป็นการเบียดเบียน ทำความเดือนร้อน ทุกข์ให้กับ ผู้อื่นหรือสัตว์อื่น
    หากคุณพิจารณาให้ดี ก็จะพบว่า ศีลในทางพุทธศาสนา (ไม่ต้องสนใจว่าศีลของพุทธศาสนามีต้นตอมาจากศาสนาไหนดอกขอรับ) นั้น กว้าง และมองเห็น และรู้จัก มนุษย์เป็นอย่างดีว่า การสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร บางคนดี บางคนไม่ดี บางคนไม่มีเมตตา บางคนมีเมตตา อย่างนี้เป็นต้น
    ดังนั้นคำว่า ปกติ ของผู้ประพฤติศีลนั้น ก็คือเป็นปกติทางความคิด เป็นอันดับแรก ถ้าไม่คิดที่จะทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด ด้วย กาย วาจา และใจ (กลายเป็นศีล) นั่นแสดงว่า เขามีความคิดเป็นปกติ ตามหลักศาสนา ฯลฯ
    และถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้าม บุคคลนั้นๆ มีความคิด ที่จะทำร้ายผู้หนึ่งผู้ใด ด้วย กาย วาจา และใจ (ก็คือไม่ยึดถือข้อศีล) นับตั้งแต่ตัวเองเป็นต้นไป ก็แสดงว่า บุคคลผู้นั้น มีความคิดที่ไม่ปกติ
    จบขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2008
  5. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    น่าน....ยังอีกนะ...... ยังอีก หุ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...