เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 มีนาคม 2025 at 17:03.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 17.jpg
      17.jpg
      ขนาดไฟล์:
      340.3 KB
      เปิดดู:
      11
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อคืนเวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง ทิดป๋อง (นายดิเรก ไพสิฐวนิชกุล) ไปรับกระผม/อาตมภาพจากวัดอุทยาน ไปส่งที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยที่กระผม/อาตมภาพต้องเข้ารายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมไปด้วย แต่ก็ยังดีที่สามารถทำประเมินและจบรายการลงได้ ก่อนที่รถจะไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งคณะทั้ง ๘ คนนั้น กระผม/อาตมภาพแทบจะไปเป็นคนสุดท้าย และที่น่าเกลียดตามแบบปกติก็คือ ไม่สามารถที่จะสแกนพาสปอร์ตด้วยเครื่องอัตโนมัติได้ ทำให้ต้องไปพึ่งพาเคาน์เตอร์เช็คอินเหมือนเดิม

    หลังจากนั้น เผือกน้อย (นายเฉลิมเดช รุจิราวรรณ) เจ้าภาพการไปญี่ปุ่นทริปนี้ ก็นำกระผม/อาตมภาพผ่านทางช่อง Fast Track ซึ่งแปลกมากว่าทางช่องนี้กลับสามารถสแกนพาสปอร์ตผ่านได้ แต่ไปเสียเวลาตรงที่เจ้าหน้าที่ตรวจค่อนข้างจะเข้มงวดกวดขัน ช่องทางด่วนก็เลยหลุดเข้าไปข้างในช้ากว่าผู้ที่เข้าทางช่องทางปกติ

    หลังจากนั้นแล้ว เผือกน้อยก็ได้นำไปยังเลาจน์ของสายการบิน โดยอาศัยแลกแต้มซึ่งสะสมเอาไว้มากมาย ให้กระผม/อาตมภาพเข้าไปพักผ่อนข้างใน โดยปกติแล้วบรรดาตามเลาจน์ต่าง ๆ ก็จะมีอาหาร มีเครื่องดื่มให้เต็มไปหมด แต่กระผม/อาตมภาพนั้นหลังจาก ๖ โมงเย็นไปแล้ว นอกจากน้ำเปล่าก็ไม่แตะต้องอะไรเลย จึงทำให้เสียของไปเปล่า ๆ

    จนกระทั่งเที่ยงคืนครึ่งโดยประมาณก็เดินไปทางออกขึ้นเครื่อง E9 กระผม/อาตมภาพเรียกว่าประตูผู้หญิง เพราะขึ้นด้วยอี (E) นั่งไปได้ครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่ามีการล่าช้า จึงทำให้พวกกระผม/อาตมภาพได้นั่งสัปหงกภาวนากันต่อไป จนเจ้าหน้าที่มานิมนต์พระให้ขึ้นก่อน กระผม/อาตมภาพก็ยังงง ๆ อยู่ว่า เจแปนแอร์ไลน์รู้จักพระด้วย ที่ไหนได้ กลายเป็นหมอโส (นายโสภณ ศิริปุณย์) เป็นคนเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้เอง

    เมื่อขึ้นเครื่องแล้วก็ได้ทำการอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ซึ่งรักษาตั้งแต่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ไปจนถึงท่าอากาศนานาชาติคันไซ ขอให้ท่านทั้งหลายอนุโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลที่กระผม/อาตมภาพทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ และช่วยคุ้มครองรักษาให้คณะของกระผม/อาตมภาพเดินทางโดยสะดวกปลอดภัยทั้งไปและกลับด้วย แล้วก็ภาวนาไปจนกระทั่งรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า ครั้นดูนาฬิกาแล้วเป็นเวลาประมาณตี ๔ ของเมืองไทย แต่ถ้าหากว่าเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นก็ประมาณ ๖ โมงเช้าแล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    หลังจากนั้นประมาณ ๓๐ นาที เจ้าหน้าที่ก็นำอาหารที่ทางด้านเผือกน้อยสั่งไว้สำหรับทุกคนมาส่ง ซึ่งมีทั้งข้าวต้มปลาแซลมอน มีสลัดผัก โยเกิร์ต ตลอดจนกระทั่งน้ำแอปเปิ้ล ฉันแล้วก็พากันแย่งกันเข้าห้องน้ำ ทำให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ? จนกระทั่งเวลาประมาณ ๐๘.๒๐ น. เครื่องบินก็มาลงที่สนามบินนานาชาติคันไซ ซึ่งช้ากว่าเวลาหน้าตั๋วไปประมาณ ๑๐ นาที

    อากาศทางด้านนี้อยู่ที่ ๗ องศาเซลเซียส ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็คิดว่าสบายมาก แต่ที่ไหนได้ หลังจากผ่าน ตม.และรับกระเป๋าแล้วเดินออกมาทางด้านนอก เจ้าประคุณรุนช่องเถอะ...ทำไมลมถึงได้แรงขนาดนี้ ทำเอาหนาวสะท้านเลยทีเดียว..!

    เมื่อออกมานอกสถานีแล้ว ก็ไปรับตั๋วรถไฟที่จองเอาไว้จากเครื่องอัตโนมัติ ได้มีการทดสอบภาษาด้วยการจิ้มเครื่องออกตั๋วกันเป็นที่สนุกสนาน ครั้นได้ตั๋วมาแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้ตลอดเวลา จนกว่าจะเดินทางกลับ ซึ่งค่าตั๋วนั้นอยู่ที่ ๑๔,๐๐๐ เยน คิดเป็นเงินไทยก็ราว ๆ ๓,๐๘๐ บาท แต่ท่านจะนั่งรถไฟเจอาร์สักกี่เที่ยวเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร สแกนเข้าสแกนออกตามหน้าตั๋วไปเรื่อย

    แต่ว่าหม่อมเยี่ยม (ม.ล.พิชวัฒน์ จักรพันธุ์) ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปรับตั๋วมาอีท่าไหน สแกนตรงไหนก็ไม่ผ่านสักแห่ง จนท้ายสุดต้องไปขอให้เจ้าหน้าที่เขาออกตั๋วใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าออกตั๋วใหม่ไม่ได้ หากแต่ลงลายเซ็นไว้ให้ บอกว่าถึงเวลาแล้วให้เดินผ่านช่องที่เป็น VIP ไปได้เลย

    พวกเราขึ้นรถไฟจากสนามบิน ตรงไปยังที่พักของเรา เพื่อที่จะเก็บกระเป๋าเอาไว้ก่อน แต่ช่วงที่เดินจากสถานีรถไฟไปยังโรงแรม Shin Umeda by Daiwa Roynet ลมแรงสุด ๆ หนาวจนแทบจะแข็งตาย หลุดเข้าไปภายในโรงแรม หลังจากที่แจ้งให้ทางพนักงานทราบแล้ว เขาบอกว่าจะเช็คอินได้ตอนบ่าย ๒ โมง พวกเราจึงได้ขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน กระผม/อาตมภาพนำเอากางเกงและเสื้อฮีทเทคออกมาใส่เพิ่มเข้าไป แล้วค่อยเดินย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟ แต่เหมือนกับโดนแกล้ง คือนอกจากจะไม่มีลมแล้วยังแดดออกอีกต่างหาก ต้องบอกว่าโอซากาต้อนรับได้ประทับใจสุด ๆ ไปเลย
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    พวกเราลงที่สถานีรถไฟเท็นโนจิ แต่ว่าไม่ได้ตรงไปยังแหล่งเที่ยวตามที่ตั้งใจไว้ หากแต่ว่าไปเข้าร้านอาหารซึ่งอยู่ใต้ดินและคับแคบมาก ๆ ต้องไปรอคิวอยู่พักใหญ่ กว่าที่จะมีโต๊ะว่างให้เข้าไปนั่งได้ บนโต๊ะนั้นอยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับเป็นกระทะแบน ๆ มีไฟติดอยู่ข้างล่าง

    ตอนแรกคิดว่าเขาแค่ให้อุ่นอาหารเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเมื่ออาหารมาถึง ทางด้านพ่อครัวก็วางลงไปบนนั้นเลย สรุปว่า ๔ คน ไม่ว่าจะสั่งอาหารอะไรก็ตาม ทุกอย่างก็จะมีมุมของตนเองให้ลง จะแบ่งกันกินหรือจะกินเฉพาะของตนก็ไม่มีใครว่าอะไร กระผม/อาตมภาพปกติเจอแต่อาหารญี่ปุ่นรสจืด ๆ ยกเว้นบางแห่งที่อูด้งค่อนข้างจะเค็ม แต่ว่าอาหารของร้านนี้รู้สึกว่าจะเค็มไปเสียทุกอย่าง เมื่อฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาคิดเงิน ก็ปรากฏว่าพวกเรากินไปค่อนข้างที่จะมากทีเดียว

    ครั้นจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังวัด Shitennoji ซึ่งถ้าหากว่าเป็นภาษาจีนก็คือ สื่อเทียนหวังซื่อ ก็คือวัดสี่ท้าวมหาราช ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดวัดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่แล้วคนก็จะไปไหว้พระขอพรกัน โดยปกติแล้วต้องเสียค่าเข้าชมวัดคนละ ๓๐๐ เยน แต่วันนี้เขาติดป้ายว่าฟรี เนื่องเพราะว่ามีตลาดนัดเปิดในบริเวณวัด เมื่อพวกเราไหว้พระแล้วจึงได้เดินดูสินค้าต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีใครซื้อหาอะไร เนื่องเพราะว่าถ้าซื้อตั้งแต่วันแรกก็คงจะได้หอบติดตัวเป็น "ไอ้บ้าหอบฟาง" ไปจนตลอดทริป

    ครั้นเดินดูจนทั่วหมด ทั้งวัดชั้นในและวัดชั้นนอก ยกเว้นไม่ได้เดินขึ้นหอกลาง เพราะว่าต้องถอดรองเท้าแล้วหิ้วขึ้นไป อากาศเย็น ๆ แบบนี้ คาดว่าเหยียบลงไปบนบันไดก็คงไม่ต่างจากเหยียบน้ำข็งเท่าไรนัก พวกเราก็เลยสละสิทธิ์ เดินย้อนกลับมาเพื่อที่จะไปขึ้นรถไฟที่สถานีเท็นโนจิ

    พวกเราได้แวะเข้าไปใน Family Mart ซึ่งกระผม/อาตมภาพตั้งใจจะไปหาชาเขียวอุ่น เพื่อที่จะฉันตามความเคยชินในลักษณะของคนติดน้ำร้อน แต่ว่าเป้าหมายใหญ่ของทั้งคณะก็คือตั้งใจที่ไปแลกแบงค์ย่อย เพราะว่าส่วนใหญ่ที่ติดตัวมาก็คือใบละ ๑๐,๐๐๐ เยนทั้งนั้น ก็เลยได้สมประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ก็คือได้ซื้อน้ำดื่มด้วย แล้วก็ได้แลกแบงค์ย่อยด้วย

    เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็เดินยิ้มกริ่มไปยังสถานีรถไฟเท็นโนจิ นั่งรถไฟไปลงสถานีปราสาทโอซากา เริ่มมีฝนตกเปาะแปะลงมา ตั้งแต่เช้ามาจนบัดนี้ มีโอกาสเห็นแดดออกอยู่แค่ช่วงเดียว ตอนที่เดินออกจากโรงแรมมาสถานีรถไฟ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มืดมัวสลัวตา แล้วฝนก็มาพรำลง ทำให้คณะของเราไปแวะซื้อร่ม ซึ่งแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าฝนตกลงมาเพียงครู่เดียวก็ขาดเม็ด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    เมื่อพวกเราเดินเข้าไปทางด้านใน ปรากฏว่าดอกเหมย ดอกท้อ กำลังเบ่งบาน สีแดง สีชมพู สีขาวสะพรั่งไปหมด แทนที่พวกเราจะเข้าไปชมปราสาทโอซากา ก็เลยกลายเป็นว่าถ่ายรูปอยู่ที่สวนดอกไม้กันเป็นนาน โดยที่หน่วยลาดตระเวนนำอย่างกระผม/อาตมภาพ ไปยืนรอคณะอยู่ จนกระทั่งต้องมีการโทรศัพท์เร่งรัดกัน

    ครั้นเข้าไปถึงบริเวณจำหน่ายตั๋วเข้มชมปราสาทก็ถึงกับท้อใจ เพราะว่าผู้คนต่อคิวยาวกันเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว..! ยังดีที่ "เผือกน้อย" และเพื่อนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการมาญี่ปุ่น จึงทำการซื้อตั๋วออนไลน์เดี๋ยวนั้นเลย ใช้เวลาไม่กี่นาที ก็ส่งให้เจ้าหน้าที่สแกน และนับจำนวนคนให้พวกเราผ่านเข้าไปได้

    เมื่อเข้าไปตรงประตู เขาก็มีคำถามว่า "จะขึ้นบันไดหรือว่าขึ้นลิฟท์ ?" พวกเราก็เลยขึ้นบันไดโดยเดินชิดขวา ถ้าหากว่าจะขึ้นลิฟท์ก็เดินชิดซ้าย เข้าไปด้านในแล้วเดินชมปราสาทไปทีละชั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นประวัติการก่อสร้าง การสู้รบ ตลอดจนกระทั่งการโดนไฟไหม้และบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ โดยที่มีโมเดลปราสาทสวย ๆ อยู่ แต่พอจะถ่ายรูป เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า "No Photo, please" ทำเอากระผม/อาตมภาพค่อนข้างที่จะเซ็ง

    เดินดูทีละชั้นขึ้นไปจนกระทั่งถึงชั้น ๘ แล้วก็ยังงง ๆ ว่าทำไมเขาไม่มีชั้น ๖ ก็คือเป็น ๑-๒-๓-๔-๕-๗-๘ ชั้น ๘ เป็นชั้นที่ให้นักท่องเที่ยวออกไปเดินวนถ่ายรูปทิวทัศน์รอบด้าน เมื่อพวกเราถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็วนกลับลงมา กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ขอกลับลงไปถ่ายรูปที่เขาห้ามสักหน่อย"
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,986
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,676
    ค่าพลัง:
    +26,537
    อาศัย "ฮันโซ" ช่วยบังตาเจ้าหน้าที่ แล้วรีบถ่ายรูปไว้ ครั้นเสร็จแล้วจึงได้เดินออกมา หาทางออกไปยังด้านนอก ปรากฏว่าหาสถานีรถไฟของตนเองไม่เจอ เพราะว่าเป็นรถของเจอาร์ แต่ว่าสถานีที่เห็นอยู่นั้นเป็นของเมโทร แล้วทุกคนก็สรุปว่าปกติสถานีเขาอยู่ด้วยกัน จึงได้สแกนตั๋วเข้าไปทางด้านใน ผ่านไปถึงสองช่วงแล้ว จึงเห็นว่ามีลูกศรชี้ไปยังสถานีรถไฟเจอาร์ ทำเอากระผม/อาตมภาพตีหน้าเซ็ง เนื่องเพราะว่าถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการเที่ยวญี่ปุ่น แล้ว ใครจะไปรู้ว่าพ่อเจ้าประคุณเอาสถานีมายัดรวมกันไว้ที่นี่ ?!

    พวกเรานั่งรถไฟย้อนกลับไป แล้วก็เดินกลับโรงแรม คราวนี้สามารถเช็คอินได้ เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า เพื่อเป็นการลดโลกร้อน ข้าวของบางอย่างจึงไม่ได้แจกจ่ายให้ตามห้องพัก หากแต่ว่าวางรวมกันอยู่ตรงล็อบบี้ ใครต้องการอะไรก็ให้หยิบไปได้ ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน แชมพู ตลอดจนกระทั่งกระดาษเช็ดตัว หรือว่าซองชาก็ตาม

    เมื่อขึ้นไปถึงห้องพักที่ทางเดินค่อนข้างจะแคบ นึกว่าจะอึดอัด แต่เข้าไปภายในห้องแล้วก็รู้สึกว่ากว้างขวางพอสบายตามสไตล์ญี่ปุ่น ที่ชอบใจมากที่สุดก็คือมีอ่างให้เปิดน้ำร้อนสำหรับแช่เท้าได้ จากที่เดินขาลากมาทั้งวันผ่อนคลายได้ในตอนนี้เอง พรุ่งนี้ก็คงต้องเดินไม่น้อยกว่าวันนี้อีกตามเคย จึงได้ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อนที่จะส่งให้ไอ้ตัวเล็ก ซึ่งน่าจะพักอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่ว่าไม่ได้นำเอาโน้ตบุ๊กมา จึงต้องใช้วิธีส่งผ่านอินเตอร์เน็ตเหมือนเดิม

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...