เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 เมษายน 2025 at 20:03.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันมหาสงกรานต์ เพราะว่าพระอาทิตย์ยกย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษตอนตี ๔ ครึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงนับว่าวันมหาสงกรานต์ยังเป็นวันอาทิตย์อยู่ เพราะว่าการนับวันใหม่แบบโบราณ เขาจะนับก็ต่อเมื่อได้อรุณแล้ว ก็คือแสงเงินแสงทองขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าสากลนั้น พอหลังเที่ยงคืนก็นับเป็นวันใหม่ แต่ค่านิยมโดยเฉพาะโหราศาสตร์ไทยก็จะนับเป็นวันเก่า นางสงกรานต์จึงเป็นนางทุงษะเทวี นางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ ถ้าทนอยู่สักชั่วโมงครึ่งก็เป็นนางสงกรานต์วันจันทร์ไปแล้ว..!

    คราวนี้ในเรื่องของประเพณีสงกรานต์ เดี๋ยวเอาไว้ไปว่ากันตอนอยู่บนธรรมาสน์ เพราะว่าเป็นเรื่องชวนปวดหัว ถ้าเราไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับเรื่องของฤกษ์ ของยาม ของโหราศาสตร์มา บางทีฟังไปก็เครียดเสียเปล่า ๆ

    มา "เล่าความหลัง" เรื่องเมื่อวานกันต่อ ในสมัยที่เข้าเรียนชั้นประถมต้น เหตุที่ใช้คำว่าประถมต้นเพราะว่า สมัยนั้นชั้นประถมปีที่ ๑ ถึงปีที่ ๔ จัดเป็นชั้นประถมต้น

    ชั้นประถมปีที่ ๕ ถึงปีที่ ๗ จัดเป็นชั้นประถมปลาย

    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงปีที่ ๓ จัดเป็นชั้นมัธยมศึกษาต้น

    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๖ จัดเป็นชั้นมัธยมศึกษาปลาย

    นี่ยังดี เพราะว่ารุ่นของพี่ชาย ไม่ว่าจะเป็นพี่ก้องเกียรติหรือพี่ประสิทธิ์ รุ่นนั้นจะมีถึงชั้นมัธยมปีที่ ๘ ลูกบ้านไหนเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ หรือสมัยนั้นเรียกว่า ม.๘ พอ ๆ กับสมัยนี้จบด็อกเตอร์เลย คนตื่นเต้นกันทั้งบ้านทั้งเมือง..!

    เนื่องเพราะว่าตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนชั้นประถมต้น ยังมีคุณครู ๒ คนที่จบชั้นประถมปีที่ ๔ แล้วมาสอนพวกเรา สมัยนั้นถ้าจบชั้นประถมปีที่ ๔ แล้วเรียนเก่ง ถ้าต้องการเป็นครูก็ให้แจ้งกับครูใหญ่ สมัยนั้นไม่มีอาจารย์ใหญ่ ไม่มีผู้อำนวยการ มีแต่ครูใหญ่ แล้วก็ไม่ได้แบ่งเป็นครู คศ.๑ / คศ.๒ / คศ.๓ แบบสมัยนี้ สมัยนั้นแบ่งเป็นชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่ได้ชั้นโท ก็เป็นครูใหญ่ไม่ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    คราวนี้คุณครูก็มีการเรียนเพื่อเพิ่มวุฒิการศึกษาของตนเอง อย่างสมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ คุณครูวรวรรณ บุญญกานนท์ ครูประจำชั้น สอบเข้าเรียนต่อ ปก.ศ.ได้ เล่นเอาวุ่นวายกันไปทั้งโรงเรียน เพราะว่าคุณครูวิ่งแก้บนทั่วไปหมด ถ้าหากว่าเรียน ปก.ศ. แล้วก็จะมีสิทธิ์เข้าเรียน พ.ม. ก็คือจากประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูง ก็ขึ้นไปเป็นประกาศนียบัตรพิเศษประโยคครูมัธยม เมาไหม ? หลวงพ่ออยู่ทั้งสมัยเก่าสมัยใหม่ ยังไม่เมาเลย เพราะฉะนั้น..ทน ๆ ฟังเอาหน่อย

    คราวนี้จากการที่โรงเรียนต้องหยุดวันโกน - วันพระ ชีวิตก็ผูกพันกับพระมาก จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีพระธุดงค์มา ๓ รูป กระผม/อาตมภาพกับพี่น้องวิ่งหนีกันป่าราบเลย..! ไม่เคยเห็น เป็นพระธุดงค์สายวัดป่าหลวงปู่มั่น เพราะว่าท่านจะห่มจีวรที่ย้อมค่อนข้างจะออกสีดำ ก็คือสีน้ำตาลเข้ม แล้วก็แบกกลดอันใหญ่มาก ใครเคยเห็นร่มแม่ค้าในตลาด ก็แบบนั้นเลย เพราะว่ากลดยาวเป็นวา ไม่ใช่กลดแขวนสั้น ๆ แบบสมัยนี้

    ท่านมาถามหาว่า "มีที่สงบที่ไหนบ้างที่จะไปปักกลดเพื่อบำเพ็ญภาวนาได้ ?" แต่ด้วยความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แทนที่จะตอบคำถามพระก็กลายเป็นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงหมด..! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ไปตอบแทน มาตอนหลังพระชุดนั้นท่านก็อยู่สร้างวัด แล้วท้ายที่สุดก็สร้างวิทยาลัยสงฆ์กำแพงแสน ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตขึ้นมาด้วย

    ครูบาอาจารย์สมัยนั้นที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดก็คือหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ที่มีชื่อเสียงโด่งดังใกล้เคียงกันก็หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ถ้าหากว่ามาทางบ้านแม่ก็คือสุพรรณบุรี ข้างบ้านเลยก็หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว ไปข้างบ้านพี่เขยก็หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ถ้าหากว่าไกลออกไปหน่อยยันสามชุกโน่น ก็หลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่

    ความรู้สึกในตอนเด็กก็คือหลวงปู่หลวงพ่อสมัยนั้น จะมีชื่อเสียงหรือว่าไม่มีก็ตาม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้ทุกรูป ขนาดที่ไม่มีชื่อเสียงเหมือนกับหลวงตาที่วัดข้างบ้าน สมัยก่อนที่เด็ก ๆ เป็นมากที่สุดก็คือเป็นฝี เขาเรียกว่า "ฝีปากหมู" พอถึงเวลาเป็นก็จะบวมปูดขึ้นมา เหมือนกับจมูกหมู แล้วมักจะเป็นตามข้อ ถ้าเป็นข้อเข่าก็ไม่ต้องเดินเลย..เพราะว่าเจ็บมาก..!

    ยาแก้ฝีชนิดนั้นมีอย่างเดียว สมัยนั้นเขาเรียกว่า "โปรเคน" เป็นยาน้ำ ถึงเวลาต้องฉีดโปรเคน ยาปฏิชีวนะที่ดีที่สุดก็คือออริโอมัยซิน แต่ว่าหาซื้อยากมาก แล้วชาวบ้านก็ไม่ได้เรียก "ออริโอมัยซิน" เขาเรียก"โอนีโอ" ชาวบ้านเขาเรียกง่าย ๆ ตามภาษาชาวบ้าน อย่างภาชนะอลูมิเนียมก็เรียก "ปีเนียม" หมดเรื่องไปเลย..!

    ในเมื่อยาก็หายาก หมอก็หายาก ถ้าสมัยนั้นจะไปหาหมอต้องอาศัยเกาะรถเมล์ไป ๓๖ กิโลเมตร ก็คือเข้าไปในตัวจังหวัดนครปฐม เส้นทางที่ไปกราบหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมนั่นแหละ ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๑ วัน ถ้าจะไปหาหมอก็ต้องไปหาที่ค้างคืน ระยะทาง ๓๖ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ๑ วัน..! เพราะว่ารถเมล์เป็นรถใช้เครื่องดีเซลเผาหัว จะต้องไปปั่น หมุนตรงข้างหน้าหม้อรถ คล้าย ๆ กับรถอีแต๊กอะไรสมัยนี้ บางทีหมุนกันจนเหงื่อท่วมก็ไม่ติดเสียที วิ่ง ๆ ไป บางทีรถพัง ต้องลงไปนั่งเฝ้า รอว่าเมื่อไรเขาจะซ่อมเสร็จ ถนนก็เป็นลูกรัง วิ่งไปฝุ่นตลบยาวตามหลังไปเป็นกิโลเมตรเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องอาศัยพระหมอ ส่วนใหญ่ท่านจะมีความรู้ทางสมุนไพรบ้าง คาถาอาคมบ้าง ถึงเวลาเป็นฝีก็ไปให้ท่านเป่าให้ ท่านก็จะถามว่า "จะให้แตกที่นี่ หรือว่าไปแตกที่บ้าน ?" สั่งได้เลยนะ..! ตั้งเวลาได้เลย ส่วนใหญ่จะขอให้ไปแตกที่บ้าน เพราะว่าถ้าฝีแตกแล้วจะเจ็บมาก เดินไม่ได้ พอเดินเข้ารั้วบ้านเท่านั้นแหละ ฝีแตกโป๊ะ..ไหลนองอยู่ตรงนั้นเลย..! ท่านตั้งเวลาได้ขนาดนั้น

    แต่ขอโทษ..ไม่ได้มีชื่อเสียงหรอก สู้หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามไม่ได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นส่วนใหญ่จะมา "สายเหนียว" เนื่องจากว่ายุคนั้นโจรผู้ร้ายมีมาก "พลตระเวน" มีน้อย เขาไม่เรียกตำรวจนะ เขาเรียกพลตระเวน หรือไม่ก็เรียกทับศัพท์ไปเลยว่าโปลิศ แต่ได้ยินคนแถวบ้านเรียกแล้วก็ปวดตับ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นเจ๊ก เขาเรียก "ปูลิด"..!

    ในเมื่อโจรมีมาก ตำรวจมีน้อยก็ต้องอาศัยป้องกันตัวเอง ไปขอของดีของขลังจากหลวงปู่หลวงพ่อที่ตัวเองมั่นใจ มาติดตัวเอาไว้ เพราะว่าชาวบ้านเองก็ปืนผาหน้าไม้หายากมาก ที่มีก็เป็นปืนคาบศิลา หรือว่าปืนแก๊ป ก็คือใช้ดินปืนตำเอง กรอกเข้าไป ยัดหมอน คำว่าหมอนก็คือส่วนใหญ่จะใช้ใยจากกาบมะพร้าวแห้ง ทุบ ๆ ๆ ปั้นเป็นก้อนแล้วยัดเข้าไป ป้องกันดินปืนไหลออกมา กรอกลูกตะกั่วลงไปเท่าจำนวนที่ตัวเองต้องการ แล้วก็เอาหมอนอัดปิดอีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็ง้างนกปืนขึ้นมา ทางด้านท้ายจะมีตัวจุดปะทุที่เรียกว่าแก๊ป ซึ่งสมัยเด็ก ๆ อาตมภาพชอบเอาก้อนหินทุบให้แตกเปรี๊ยะ..เสียงดังดี..!

    ปรากฏว่าบางทีดินปืนตำก็ไม่ได้มาตรฐาน ถึงเวลายิงแทนที่จะระเบิดโป้ง ก็เสียงดังฟืดดด..! เงียบ..ดินปืนไหม้ไม่แรงพอ ไม่สามารถที่จะจุดระเบิดแล้วดันลูกปืนออกไปได้ หรือบางทีถึงเวลาก็เอาแก๊ปไปหนีบคาเอาไว้นาน ข้ามวันข้ามคืน เกิดความชื้นมาก ง้างนกสับ แป้ก..เงียบ..!

    บางคนก็ต้องการจะล่าสัตว์ อัดดินปืนเข้าไป บางทีเขากะขนาดไม่ถูก พอถามว่า "เอ็งอัดดินปืนไปเท่าไร ?" เขาบอก "สองกำโผล่" ก็คือเอามือกำกระบอกอย่างนี้ ปรากฏว่าดินปืนเยอะมากไป อัดอยู่ในกระบอก เหนี่ยวไกเปรี้ยง..!ระเบิดดีมาก หน้าหายไปซีกหนึ่งด้วย..! เพราะว่าลำกล้องปืนระเบิด ทางด้านท้ายรวมทั้งนกสับ ปลิวมากระแทกหน้าตัวเอง..! บาดเจ็บสาหัสบ้าง ตายคาที่บ้าง แล้วแต่เวรแต่กรรม..!

    ไม่ต้องคุยอะไรกันแล้ว เรื่องเดียวจบ..หมดเวลาแล้ว เอ้า..เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวมีเวลาแล้วค่อยเล่าต่อ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...