เทศน์วันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 เมษายน 2025 at 20:07.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    เทศน์วันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘


    https://www.youtube.com/live/e9ebYj_NDPI เทศน์เริ่มนาทีที่ ๕๘.๐๐

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย ติฯ

    ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชชนาในปุญญกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา เพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งพร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

    ญาติโยมทั้งหลาย คำว่า "สงกรานต์" นั้นคือ การตัด หรือว่า ข้ามผ่าน คือ..เป็นวันที่พระอาทิตย์ข้ามผ่านจากราศีมีนสู่ราศีเมษ จัดว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูกาลในบ้านเรา ซึ่งความจริงแล้วแต่โบราณมาเรานับเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่

    มาภายหลังวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ นั้นมีช้ามีเร็ว..มีก่อนมีหลัง ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ ๑๓ เมษายนเป็น "วันปีใหม่" หรือว่า "วันสงกรานต์" ก็แปลว่า มีการผิดเพี้ยนกันไปหลายวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    แต่ด้วยเหตุที่ว่า..ทางโหราศาสตร์ของเรายังถือจันทรคติ คือ การขึ้น-แรม เป็นปกติ ดังนั้นบุคคลที่เกิดภายในวันที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ จึงยังไม่นับเป็นปีมะเส็ง ยังจัดว่าเป็นปีมะโรงอยู่ ต้องวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ จึงจะเริ่มนับว่าเกิดปีมะเส็ง

    แต่ในสมัยนี้พวกเราก็มักจะนับวันที่ ๑ มกราคม เป็นปีเกิดใหม่ ซึ่งเพี้ยนจากความเป็นจริงไปอย่างน้อยก็ ๓ เดือน ดังนั้นถ้าหากว่าเราไปแจ้งว่า เราเกิดปีมะเส็ง ทั้ง ๆ ที่เป็นปีมะโรงอยู่ การที่ไปพึ่งพาโหราศาสตร์หรือหมอดูก็จะมีการผิดเพี้ยนผิดพลาดได้ง่าย เนื่องเพราะว่าการศึกษาโหราศาสตร์นั้น ถ้าเป็นไปโดยลึกซึ้งแล้ว นอกจากวัน-เดือน-ปีเกิด ยังต้องการเวลาเกิดและสถานที่เกิดด้วย

    เพียงแต่ว่าการศึกษาโหราศาสตร์ที่ครอบคลุมละเอียดถึงขนาดนั้น ในปัจจุบันนี้เท่าที่กระผม/อาตมภาพศึกษาดู ในประเทศไทยของเราเหลือแต่โหราศาสตร์ระบบสิบลัคนาเท่านั้น นอกนั้นก็ขาดบ้างเกินบ้าง คำว่า "ขาด" ก็คือ..ส่วนใหญ่ถ้าเป็นตำราไทยก็จะขาด แต่ในส่วน "เกิน" ก็คือ..ไปเอาตำราจีนมาบ้าง ตำราอินเดียมาบ้าง แม้กระทั่งระบบยูเรเนียนของยุโรปก็มีมาด้วย จึงทำให้มีทั้งขาดและเกิน โอกาสที่จะถูกต้องอย่างแท้จริงจึงเป็นไปโดยยาก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    เพียงแต่ว่า..ในเรื่องของสงกรานต์หรือว่าปีใหม่ไทย ในอดีตของเรามาก็ผูกพันกับระบบทางจันทรคติ หรือว่าในเรื่องของโหราศาสตร์-ดาราศาสตร์..เมื่อพระอาทิตย์ยกย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษซึ่งเป็นฤดูร้อน ก็มีการกำหนดให้มีการรดน้ำดำหัวเป็นประเพณีขึ้นมา ภายหลังก็เปลี่ยนค่านิยมเป็นการสาดน้ำกัน

    ประการแรกก็คือ ช่วยให้คลายร้อน ประการที่สอง..ความจริงเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดก็คือ การไปแสดงออกซึ่งความเคารพต่อผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันของเราไม่ค่อยจะเน้นกันตรงคุณงามความดี ไปเน้นในเรื่องของความสนุกสนานเฮฮาอย่างเดียว กลายเป็นลดคุณค่าในวัฒนธรรมประเพณีของเราไปอย่างน่าเสียดาย

    แต่ว่า..ในประเพณีส่วนหนึ่งนั้นเราก็เอาจากพราหมณ์มาปรับเป็นพุทธ ก็คือ ให้มีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม เจริญพระพุทธมนต์ ถวายสังฆทาน เหล่านี้เป็นต้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีมีการรับเอามาจากชาติต่าง ๆ แล้วก็ดัดแปลงไปให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมประเพณีเดิม ๆ ของตนเอง จนกลายเป็นสงกรานต์แบบไทยขึ้นมา
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    คราวนี้เนื้อหาสาระที่สำคัญก็คือว่า..บรรพบุรุษของเรานั้นเน้นในเรื่องของกองบุญการกุศล จึงได้มีการสร้างบุญสร้างกุศลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บุคคลที่เคร่งครัด..ตั้งแต่ก่อนนอนก็กราบหมอน-กราบพระ รำลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก่อน..แล้วถึงได้เข้านอน

    ตื่นขึ้นมาก็กราบหมอน-กราบพระ สวดมนต์..จนกำลังใจทรงตัว บางคนก็นั่งสมาธิภาวนาต่อด้วย แล้วถึงได้ไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัว เข้าครัวทำกับข้าวกับปลาไปรอใส่บาตรหน้าบ้าน ถ้าหากว่าเป็นวันโกน วันพระ ก็มีการหิ้วปิ่นโตเข้าวัด

    ดังนั้น..ในเรื่องของการสั่งสมบุญกุศล จึงเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของเราได้กระทำต่อเนื่องมายาวนาน
    เพราะความไม่ประมาท ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ก็คือ การเวียนว่ายตายเกิดแต่ละชาติแต่ละภพนั้น ถ้าขาดบุญขาดกุศลเสียแล้ว ก็จะประสบพบแต่ความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ นานา

    ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า บุคคลที่ยากจนแทบไม่มีอะไรจะกินก็มี ต้องลำบากทุกข์ยากพิกลพิการก็มี นั่นก็คือ การสร้างกรรมในอดีตไว้มาก แต่สร้างบุญเอาไว้น้อย

     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    ดังนั้น..บรรพบุรุษของเราจึงตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมบุญกุศล ในทาน ในศีล ในภาวนา เรื่องของทานนั้นก็มีปกติใส่บาตรกันอยู่ทุกวัน เรื่องของศีลนั้นมีการรักษาศีล ๕ เป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นวันพระก็เพิ่มศีลอุโบสถเข้ามา พอเริ่มอายุมาก ๔๐ กว่า ๕๐ ปีก็เริ่มไปถือศีลอุโบสถเป็นโยมวัด ปล่อยวางภาระหน้าที่ต่าง ๆ ให้ลูกหลานรับผิดชอบกันเอง ตนเองเพียงแต่อยู่เป็นมิ่งขวัญกำลังใจและสั่งสมบุญ เพื่อหนทางในการข้ามวัฏสงสารของตนเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น..เราท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้จึงนับว่าเป็นผู้ประมาทมาก เพราะว่าไม่ค่อยที่จะสร้างบุญสร้างกุศล

    การสร้างบุญสร้างกุศลก็ยังสร้างบาปไปในตัวด้วย อย่างเช่นว่า การใส่บาตร..จิตใจก็ไม่ได้มุ่งอยู่ในเรื่องของทาน เรื่องของการสละออก แต่ว่าไปเซลฟี่บ้าง ไปไลฟ์สดบ้าง มุ่งอยู่ตรงที่จะอวดคนอื่นว่าเราทำความดี หรือว่าการรักษาศีล..ก็ไม่ได้สนใจที่จะรักษา เนื่องเพราะเห็นว่าในเรื่องของการรักษาศีลนั้นเป็นเรื่องโบราณ ไม่ทันสมัย

    ในเรื่องของการเจริญภาวนาก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติ จึงเป็นบุคคลที่กำลังใจน้อย ถึงเวลาก็ไหลตามกระแสโลกไปได้ง่าย โดนคนชักชวนไปในทางที่ไม่ดี ก็ไม่มีกำลังที่จะหักห้ามตนเอง จึงกลายเป็นความวุ่นวายในสังคมไทยอยู่ในปัจจุบันนี้

     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันสงกรานต์ที่วัดท่าขนุนของเรา ซึ่งเริ่มด้วยการใส่บาตร ตอนนี้เราก็มาสมาทานศีล และฟังธรรม อีกสักครู่หนึ่งยังมีการฟังการเจริญพระพุทธมนต์ ตลอดจนกระทั่งถวายภัตตาหารสังฆทาน จึงจัดว่าท่านทั้งหลายตั้งใจในการบำเพ็ญกุศลด้วยดี กระทำแบบผู้มีปัญญา ทำบุญที่เป็นบุญจริง ๆ

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้..เมื่อสะสมไปนานเข้าก็จะกลายเป็น "ปุพเพกตปุญญตา" คือ ผลบุญที่เราสร้างสมไว้ตั้งแต่ต้น..เมื่อรวมตัวกันมาก ๆ เข้า ผลกรรมก็แสดงออกได้น้อย

    เหตุเนื่องเพราะว่า..ถ้ากรรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้ เปรียบเสมือนอย่างกับเกลือที่มีความเค็ม แล้วเราสร้างบุญสร้างกุศลเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สร้างกรรมใหม่ เหมือนกับเอาน้ำจืดเติมลงไปเรื่อย ๆ เกลือนั้นก็จะลดความเค็มลงไปทุกที เกลือไม่ได้หายไปไหน ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม แต่น้ำจืดที่ท่วมทับมากเข้า ๆ ท้ายที่สุดเกลือก็ไม่สามารถจะแสดงความเค็มออกมาได้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...