บทความให้กำลังใจ(ฟังกันบ้าง)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,223
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    สื่อโซเชียลคุณอนันต์โทษมหันต์
    พระครูนิรมิตวิทยากร (วิทยา กิจฺจวิชฺโช)


    เมื่อทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ เพียงกระซิบเบา ๆ เสียงก็ดังไปไกล ดังนั้น การจะทำจะพูดอะไรออกสื่อโซเชียล จึงต้องระมัดระวัง คิดใคร่ครวญให้สุขุมรอบคอบว่า ตนเองต้องการจะสื่ออะไร สิ่งนั้นใช่ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ เป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร มีความจำเป็นหรือไม่จำเป็น จะทำให้ใครเดือดร้อน หรือสร้างความเสียหายแก่ใครหรือเปล่า จะผิดกฎหมายหรือไม่
    .
    ถ้าใครไม่คิดอ่านใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน เมื่อเผยแผ่เรื่องราวออกสื่อโซเชียลไปแล้ว ก็มักจะมีผลเสียหายตามมา อาจเกิดการทะเลาะวิวาท ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง
    .
    ในอดีตตอนที่ยังไม่มีสื่อโซเชียล มีแต่สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ แม้โทรศัพท์ก็ต้องไปยืนเข้าคิวรอที่ชุมสาย กว่าจะได้โทรคุยกันก็นาน แต่เราก็อยู่กันมาได้ การกระจายข้อมูลยังอยู่ในวงจำกัด และมีต้นทุนที่ต้องจ่ายค่อนข้างสูง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีใครไปทำโฆษณาออกสื่อ โดยมากมักจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเป็นส่วนใหญ่
    งานวัด งานบุญทั้งหลาย จะเผยแผ่ในวงแคบในหมู่คนรู้จักมักคุ้นกันที่พอจะติดต่อกันได้ ต้องเจอตัวจริง ต้องเอาตาไปดู เอาหูไปฟัง เอากายไปสัมผัสกันจริง ๆ
    .
    ในยุคปัจจุบันทุกคนมีสื่อของตัวเองอยู่ในมือ สามารถเผยแผ่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ทั้งภาพและเสียง โดยอาศัยเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวกับช่องทางโซเชียลมีเดีย แม้อยู่ไกลกันก็มองเห็นกันได้
    .
    อยากทำบุญก็แค่โอนเงินผ่านโมไบล์แบ๊งค์กิ้ง ไม่ต้องไปวัดก็ทำบุญได้อย่างสะดวกสบาย เลยทำให้เกิดกิเลสตัวติดสุขติดสบายหนักเข้าไปอีก
    การปฏิบัติธรรมสมัยนี้ มันไม่ง่าย เพราะมีสิ่งยั่วยุที่คอยบั่นทอนทำลายจิตใจมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มันมีคุณอนันต์แก่ผู้รู้จักใช้ แต่มันก็มีโทษมหันต์แก่ผู้ไม่รู้จักใช้ ทุกคนจึงต้องฉลาดที่จะเรียนรู้เพื่อใช้มันให้เป็น โดยที่จะไม่ให้เกิดโทษ หรือเกิดโทษน้อยที่สุด
    .
    บางคนสามารถทำมาค้าขายออนไลน์ทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่บางคนก็ขาดทุนอย่างย่อยยับก็มี ยอดไลค์ ยอดวิว ยอดผู้ติดตาม กลายเป็นสิ่งที่ทำเงินได้ เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ทำให้วิถีชีวิตของมนุษย์ต้องเปลี่ยนไปแน่ ๆ แต่จะเปลี่ยนไปในทางสูงหรือทางต่ำ ก็ขึ้นอยู่กับมโนธรรมภายในใจของมนุษย์แต่ละคนที่จะปฏิบัติต่อตนเอง
    .
    ในเมื่อโลกนี้มันมีทั้งคนดีและคนชั่ว มิหนำซ้ำ คนชั่วยังมีมากกว่าคนดี อีกทั้งทุกคนมีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านสื่อโซเชียลได้อย่างเท่าเทียมกัน
    จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสื่อโซเชียลจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำความชั่วต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เกิดการโกหกหลอกลวงต้มตุ๋นกัน อย่างหลากหลายรูปแบบ จนไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้เลย
    .
    แม้กระทั่งการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีผู้กล่าวกล่าวบิดเบือน กล่าวตู่คำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเอาความคิดเห็นของตัวเองมาใส่เข้าไปอย่างที่เรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป จะเป็นเพราะความไม่รู้จริง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเจตนาจะกล่าวบิดเบือน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ก็อยู่ที่จิตสำนึกความมีหิริโอตตัปปะของแต่ละคน
    .
    ส่วนผู้ที่เผยแผ่ธรรมแท้อันเป็นข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์ได้ คือ มรรค ผล นิพพาน ก็มีแต่เฉพาะในวงกรรมฐานสายป่าที่เป็นปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่หลุดพ้นไปแล้วเท่านั้น
    .
    นอกนั้นที่เอาธรรมในตำรามาเผยแผ่ หรือเกิดจากการใช้มโนนึกคิดเอาเอง ด้นเดาเกาหมัดเอาเอง ก็มีมากมายนักหนา บางทีเห็นแล้วก็อดสังเวชสลดใจไม่ได้ ก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวชอยู่ภายในใจ คิดแต่เพียงว่า เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง
    .
    หวนนึกถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตา สอนย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้ายังสอนตัวเองไม่ได้ ยังเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากคุกของกิเลสไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปสอนใครเลย ถ้าตัวเองยังไม่รู้จริง จะเอาความรู้อะไรไปสอนเขา ถ้าสอนธรรมผิดก็เป็นกรรมหนักอีก เพราะตัวเองหลงผิดแล้ว ยังไปทำให้คนอื่นพลอยหลงผิดตามไปด้วย นี่! ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย.

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2025 at 23:00
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,223
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    (ต่อ)
    upload_2025-7-29_11-21-43.png

    ผู้ที่ยังหลงทางไม่รู้ทาง ก็ต้องเดินตามหลังท่านผู้รู้ที่ชำนาญทางแล้ว จึงจะไม่หลงทาง
    .
    ฝึกตนเองดีแล้ว จึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่า ทำตามพระพุทธเจ้า สอนคนอื่นมันง่ายนัก พูด ๆ ไปก็จบแล้ว แต่สอนตัวเองมันยากกว่านักหนา เพราะสอนแล้วต้องทำเองให้ได้ด้วย เพื่อเป็นบทพิสูจน์ทราบไปในตัวด้วยว่า ถ้าสอนตัวเองไม่ผิด การปฏิบัติก็ต้องเห็นผลประจักษ์ใจชัดแจ้ง สิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง
    .
    บรรดาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านไม่แสดงธรรมเพราะความอยากแสดง แต่ท่านเพียงแสดงธรรมแก่บุคคลที่ควรแสดง และแสดงธรรมไปตามสมควรแก่ธรรม ด้วยจิตเมตตาหวังให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์จากธรรม ชี้แจงเหตุผลให้เข้าใจ มากบ้างน้อยบ้างตามสมควรแก่ภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละคน ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ ทั้งไม่ยกตนข่มผู้อื่น
    .
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัวมันเอง ตามสมควรแก่ฐานะของมัน ผู้มีปัญญาย่อมพิจารณาถือเอาแต่เฉพาะสิ่งที่เป็นคุณ และปล่อยวางสิ่งที่เป็นโทษไว้เสียตามความเป็นจริงของเขา ไม่จำเป็นต้องไปยกสิ่งนั้น ไปกดสิ่งโน้น และไม่ไปเก็บเอาความดีความชั่วของโลกมาแบกมาหาม เพื่อสร้างพิษภัยให้กับตัวเอง
    :- https://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/สื่อโซเชียลคุณอนันต์โทษมหันต์-.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,223
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ฟังกันบ้าง
    By : สามสลึง

    สมนึกป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล อาการทรุดลงเป็นลำดับ ญาติจึงนิมนต์หลวงพ่อมาเทศน์ ท่านรีบมาอย่างรวดเร็ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย สมนึกก็มีอาการทรุดหนักกว่าเดิม พยายามยกหัวและอ้าปากจะพูด แต่หลวงพ่อยกมือห้าม “ไม่เป็นไร อย่าลำบากเลย นอนตามสบาย “ แล้วท่านก็เริ่มเทศน์ให้สมนึกปล่อยวาง ปลงทุกอย่าง ความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น จงทำใจให้เป็นกุศล ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯลฯ


    ระหว่างที่หลวงพ่อเทศน์ สมนึกออกอาการหนักมากขึ้น ถึงกับโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ส่งสัญญาณว่าต้องการเขียนข้อความบางอย่าง ญาติ ๆ จึงหยิบปากกากับกระดาษส่งให้ ส่วนหลวงพ่อเห็นว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว จึงรีบเทศน์ ขณะที่สมนึกทุรนทุรายมากขึ้น รวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความสำคัญได้สมใจ เสร็จแล้วก็สิ้นลม ทิ้งกระดาษไว้ข้างตัว

    หลวงพ่อเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าไว้ เพราะเห็นว่ายังไม่สมควรอ่านคำสั่งเสีย ขณะที่ญาติ ๆ ของสมนึกกำลังเศร้าโศก

    เย็นนั้น หลังบรรจุศพ หลวงพ่อหยิบคำสั่งเสียของสมนึกมาอ่านต่อหน้าญาติทั้งหมด ท่านเกริ่นว่า “สมนึกเป็นห่วงญาติ ๆ มาก ขนาดใกล้ตายแล้วยังนึกถึงพวกเธอ เขาคงอยากจะบอกให้พวกเธอหักห้ามจิตใจ อย่าเศร้าโศกไปเลย” ว่าแล้วท่านก็อ่านดัง ๆ ว่า

    “ถอยไป อย่าเหยียบสายออกซิเจน”

    หลวงพ่อเหยียบสายออกซิเจนจนสมนึกเพียบหนัก แต่หลวงพ่อไม่รู้ตัว เพราะคิดแต่จะเทศน์สอนผู้ป่วยอย่างเดียว สมนึกอยากจะบอกหลวงพ่อว่ากำลังเหยียบอะไรอยู่ แต่หลวงพ่อปรารถนาดี อยากให้สมนึกได้ฟังธรรมะเต็มที่ จึงระดมธรรมใส่สมนึกไม่ยั้ง

    สมนึกคงมีชีวิตยืนยาวอีกหน่อย และได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อเต็มที่อย่างแน่นอน ถ้าหลวงพ่อเพียงแต่เงี่ยหูฟังบ้างว่าสมนึกต้องการพูดอะไร หลวงพ่อนั้นมีเมตตามาก จึงอยากจะเทศน์เต็มที่ จนลืมฟังผู้ป่วย

    การฟังนั้นสำคัญไม่น้อยกว่าการพูด การเยียวยาผู้ป่วยหรือคนทุกข์นั้น บางทีก็ไม่ต้องใช้การพูด เพียงแต่ฟังเขา ก็ช่วยเขาได้มาก หลวงปู่หลวงตาสมัยก่อนท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ชาวบ้านได้ก็เพราะท่านเป็นฝ่ายนั่งฟังให้เขามาระบายความทุกข์ พอฟังเสร็จ พูดแนะนำเขาสักสองสามคำ ชาวบ้านก็สบายใจแล้ว สาเหตุที่ผู้คนไปพึ่งศาลพระพรหมกันมากทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านฟังอย่างเดียว และฟังทุกเรื่อง ใคร ๆ จึงอยากจะมาระบายกับท่าน

    เดี๋ยวนี้เราพูดกันมากขึ้น แต่ฟังกันน้อยลง โทรศัพท์มือถือที่แพร่ระบาด ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเราฟังกันมากขึ้นเลย หากเป็นเพียงเครื่องมือให้เราพูดกันมากขึ้นเท่านั้น อาการแบบนี้ระบาดไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัว พ่อแม่มีเวลาฟังลูกน้อยลง ยามที่ลูกมีปัญหา แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าดู เช่น เที่ยวดึก ติดผู้หญิง หนีเรียน พ่อแม่ก็คิดแต่จะสอนลูก มากกว่าที่จะนั่งฟังว่าลูกมีปัญหาอะไรจึงทำตัวเช่นนั้น บางครั้งลูกเล่าให้ฟัง พ่อก็ตัดบทว่า “เมื่อก่อนพ่อก็เที่ยวเก่ง แต่ก็ไม่เคยก่อปัญหาอย่างเธอเลย” ส่วนแม่ก็ว่า “ตอนเด็ก ๆ แม่เชื่อฟังคุณย่าทุกอย่าง ไม่เคยดื้ออย่างเธอเลย” เจอแบบนี้เข้า ลูกก็ต้องปิดปาก พอไปโรงเรียน เจอครูแบบนี้อีก ก็เลยหันไปไปหาดีเจหรือดาราเป็นที่พึ่งแทน เพราะเขาเหล่านี้รับฟังทุกอย่าง ถึงแม้ไม่สามารถพูดกับเขาโดยตรง ก็ระบายให้รูปของเขาฟังแทน

    ครอบครัวจะน่าอยู่ โรงเรียนจะน่าไป ก็เพราะพ่อแม่และครูบาอาจารย์หัดฟังเด็ก ๆ มากขึ้น ฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ฟังด้วยหูพอเป็นพิธี เพียงเพื่อจะเอาคำพูดของเขามาเล่นงานเขาเองในภายหลัง จะฟังอย่างนี้ได้ต้องมีเมตตามาก ๆ และลดอคติให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ตัดสินล่วงหน้าหรือคิดแต่จะสอนท่าเดียว อย่าลืมว่าความดีนั้นไม่ได้เกิดจากการสอน แต่เกิดจากการเรียนรู้และรู้จักคิดด้วยตนเอง

    มาช่วยกันสร้างบ้านให้น่าอยู่ ด้วยการฟังกันให้มากขึ้น ไม่งั้นอาจลงเอยอย่างเรื่องข้างล่าง

    ลูกชายวัยรุ่นระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ

    “พ่อไม่เข้าใจผมหรอก ผมอยากเป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับ อยากมีคนเข้าใจ พูดแล้วมีคนรับฟัง ไม่ใช่เอาแต่เทศน์เอาแต่สอนอย่างเดียว พ่อเข้าใจไหม ผมอยากได้สิ่งที่บ้านนี้ไม่เคยมีให้เลย”
    ว่าแล้วลูกชายก็เดินสะพายเป้ออกจากบ้าน พ่อจึงรีบเดินเข้ามาจับไหล่

    “อย่ามาห้ามผมได้ไหม” ลูกชายบอกพ่อ

    “ใครว่าฉันห้ามแก แค่อยากขอตามไปด้วยเท่านั้นน่ะ” พ่อวิงวอน
    :- https://visalo.org/article/sarakan254609.htm


     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,223
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,094
    ฟังกันบ้าง
    By : สามสลึง

    สมนึกป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล อาการทรุดลงเป็นลำดับ ญาติจึงนิมนต์หลวงพ่อมาเทศน์ ท่านรีบมาอย่างรวดเร็ว แต่พอเดินเข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย สมนึกก็มีอาการทรุดหนักกว่าเดิม พยายามยกหัวและอ้าปากจะพูด แต่หลวงพ่อยกมือห้าม “ไม่เป็นไร อย่าลำบากเลย นอนตามสบาย “ แล้วท่านก็เริ่มเทศน์ให้สมนึกปล่อยวาง ปลงทุกอย่าง ความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น จงทำใจให้เป็นกุศล ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฯลฯ

    ระหว่างที่หลวงพ่อเทศน์ สมนึกออกอาการหนักมากขึ้น ถึงกับโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ส่งสัญญาณว่าต้องการเขียนข้อความบางอย่าง ญาติ ๆ จึงหยิบปากกากับกระดาษส่งให้ ส่วนหลวงพ่อเห็นว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว จึงรีบเทศน์ ขณะที่สมนึกทุรนทุรายมากขึ้น รวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้ายเขียนข้อความสำคัญได้สมใจ เสร็จแล้วก็สิ้นลม ทิ้งกระดาษไว้ข้างตัว

    หลวงพ่อเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าไว้ เพราะเห็นว่ายังไม่สมควรอ่านคำสั่งเสีย ขณะที่ญาติ ๆ ของสมนึกกำลังเศร้าโศก

    เย็นนั้น หลังบรรจุศพ หลวงพ่อหยิบคำสั่งเสียของสมนึกมาอ่านต่อหน้าญาติทั้งหมด ท่านเกริ่นว่า
    “สมนึกเป็นห่วงญาติ ๆ มาก ขนาดใกล้ตายแล้วยังนึกถึงพวกเธอ เขาคงอยากจะบอกให้พวกเธอหักห้ามจิตใจ อย่าเศร้าโศกไปเลย” ว่าแล้วท่านก็อ่านดัง ๆ ว่า

    “ถอยไป อย่าเหยียบสายออกซิเจน”

    หลวงพ่อเหยียบสายออกซิเจนจนสมนึกเพียบหนัก แต่หลวงพ่อไม่รู้ตัว เพราะคิดแต่จะเทศน์สอนผู้ป่วยอย่างเดียว สมนึกอยากจะบอกหลวงพ่อว่ากำลังเหยียบอะไรอยู่ แต่หลวงพ่อปรารถนาดี อยากให้สมนึกได้ฟังธรรมะเต็มที่ จึงระดมธรรมใส่สมนึกไม่ยั้ง

    สมนึกคงมีชีวิตยืนยาวอีกหน่อย และได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อเต็มที่อย่างแน่นอน ถ้าหลวงพ่อเพียงแต่เงี่ยหูฟังบ้างว่าสมนึกต้องการพูดอะไร หลวงพ่อนั้นมีเมตตามาก จึงอยากจะเทศน์เต็มที่ จนลืมฟังผู้ป่วย

    การฟังนั้นสำคัญไม่น้อยกว่าการพูด การเยียวยาผู้ป่วยหรือคนทุกข์นั้น บางทีก็ไม่ต้องใช้การพูด เพียงแต่ฟังเขา ก็ช่วยเขาได้มาก หลวงปู่หลวงตาสมัยก่อนท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้แก่ชาวบ้านได้ก็เพราะท่านเป็นฝ่ายนั่งฟังให้เขามาระบายความทุกข์ พอฟังเสร็จ พูดแนะนำเขาสักสองสามคำ ชาวบ้านก็สบายใจแล้ว สาเหตุที่ผู้คนไปพึ่งศาลพระพรหมกันมากทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านฟังอย่างเดียว และฟังทุกเรื่อง ใคร ๆ จึงอยากจะมาระบายกับท่าน

    เดี๋ยวนี้เราพูดกันมากขึ้น แต่ฟังกันน้อยลง โทรศัพท์มือถือที่แพร่ระบาด ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเราฟังกันมากขึ้นเลย หากเป็นเพียงเครื่องมือให้เราพูดกันมากขึ้นเท่านั้น อาการแบบนี้ระบาดไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัว พ่อแม่มีเวลาฟังลูกน้อยลง ยามที่ลูกมีปัญหา แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าดู เช่น เที่ยวดึก ติดผู้หญิง หนีเรียน พ่อแม่ก็คิดแต่จะสอนลูก มากกว่าที่จะนั่งฟังว่าลูกมีปัญหาอะไรจึงทำตัวเช่นนั้น บางครั้งลูกเล่าให้ฟัง พ่อก็ตัดบทว่า “เมื่อก่อนพ่อก็เที่ยวเก่ง แต่ก็ไม่เคยก่อปัญหาอย่างเธอเลย” ส่วนแม่ก็ว่า “ตอนเด็ก ๆ แม่เชื่อฟังคุณย่าทุกอย่าง ไม่เคยดื้ออย่างเธอเลย” เจอแบบนี้เข้า ลูกก็ต้องปิดปาก พอไปโรงเรียน เจอครูแบบนี้อีก ก็เลยหันไปไปหาดีเจหรือดาราเป็นที่พึ่งแทน เพราะเขาเหล่านี้รับฟังทุกอย่าง ถึงแม้ไม่สามารถพูดกับเขาโดยตรง ก็ระบายให้รูปของเขาฟังแทน

    ครอบครัวจะน่าอยู่ โรงเรียนจะน่าไป ก็เพราะพ่อแม่และครูบาอาจารย์หัดฟังเด็ก ๆ มากขึ้น ฟังด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ฟังด้วยหูพอเป็นพิธี เพียงเพื่อจะเอาคำพูดของเขามาเล่นงานเขาเองในภายหลัง จะฟังอย่างนี้ได้ต้องมีเมตตามาก ๆ และลดอคติให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ตัดสินล่วงหน้าหรือคิดแต่จะสอนท่าเดียว อย่าลืมว่าความดีนั้นไม่ได้เกิดจากการสอน แต่เกิดจากการเรียนรู้และรู้จักคิดด้วยตนเอง

    มาช่วยกันสร้างบ้านให้น่าอยู่ ด้วยการฟังกันให้มากขึ้น ไม่งั้นอาจลงเอยอย่างเรื่องข้างล่าง

    ลูกชายวัยรุ่นระเบิดอารมณ์ใส่พ่อ

    “พ่อไม่เข้าใจผมหรอก ผมอยากเป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับ อยากมีคนเข้าใจ พูดแล้วมีคนรับฟัง ไม่ใช่เอาแต่เทศน์เอาแต่สอนอย่างเดียว พ่อเข้าใจไหม ผมอยากได้สิ่งที่บ้านนี้ไม่เคยมีให้เลย”
    ว่าแล้วลูกชายก็เดินสะพายเป้ออกจากบ้าน พ่อจึงรีบเดินเข้ามาจับไหล่
    “อย่ามาห้ามผมได้ไหม” ลูกชายบอกพ่อ

    “ใครว่าฉันห้ามแก แค่อยากขอตามไปด้วยเท่านั้นน่ะ” พ่อวิงวอน
    :- https://visalo.org/article/sarakan254609.htm


     

แชร์หน้านี้

Loading...