บทความให้กำลังใจ(มองตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (สุดท้าย)
    มรณสติช่วยเตือนใจให้เราตระหนักว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ขณะนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมจากเราไป การระลึกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น จะช่วยให้เราหันมาชื่นชมกับสิ่งนั้นมากขึ้น ไม่มองข้ามหรือปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเรารู้ว่าในที่สุดเราต้องเจ็บป่วยและแก่ชรา เราจะเห็นคุณค่าของสุขภาพและวัยเยาว์ จะไม่ปล่อยปละละเลยสุขภาพหรือใช้วัยเยาว์ไปในทางที่ไร้สาระ เมื่อเราตระหนักว่าเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด เราจะเห็นคุณค่าของทุกเวลานาทีที่ยังเหลืออยู่ ไม่ปล่อยทิ้งไปอย่างไร้คุณค่า ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเราจะรู้สึกเป็นสุขที่ยังมีชีวิตอีกหนึ่งวัน แต่ละวันนั้นจะมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเราหรือไม่

    ในทำนองเดียวกัน เพียงแค่รู้ว่า พ่อแม่ ลูกหลาน สามีภรรยา ยังอยู่กับเรา เราก็มีความสุขแล้ว เพราะไม่มีหลักประกันเลยว่าเขาจะจากเราไปเมื่อใด แม่บ้านผู้หนึ่งเล่าว่าทุกเย็นเพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ อยู่กันพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขแล้ว เพราะไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่ มรณสติจึงทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น เพราะตระหนักว่าเรามีสิ่งดี ๆ ที่ทรงคุณค่าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาความสุขจากสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ไกลตัวเลย

    การระลึกถึงความตายว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน ยังทำให้เราตระหนักว่าคนที่เราพบปะเกี่ยวข้องนั้น อาจจะจากไปเมื่อไรก็ได้ การพบปะกับเขาอาจเป็นการพบปะกันครั้งสุดท้าย เมื่อใดก็ตามที่คิดได้เช่นนี้ เราจะตระหนักว่าเวลาที่อยู่กับเขาขณะนั้นเป็นเวลาที่สำคัญมาก เราจะให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น ใส่ใจกับความรู้สึกของเขายิ่งกว่าเดิม แทนที่จะพูดหรือทำกับเขาตามความเคยชิน ก็จะนุ่มนวลหรืออ่อนโยนกับเขามากขึ้น ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งเราไม่ค่อยมีเวลาให้แก่กัน ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของกัน เพราะคิดว่าเรามีโอกาสที่จะได้พบกันอีก การคิดว่ายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำให้เราไม่ใส่ใจความรู้สึกของกันและกันเท่าที่ควร จึงทำให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันได้ง่าย และเมื่อทะเลาะกันแล้ว ก็คิดว่าไม่ต้องรีบปรับความเข้าใจกันก็ได้ เพราะมีเวลาอีกมากที่จะคืนดีกัน การคิดเช่นนี้จัดว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง แต่หากเราตระหนักว่าความตายอาจพรากจากเราไปเมื่อไรก็ได้ เราจะเปลี่ยนท่าที และใส่ใจกันมากขึ้น

    ตายก่อนตาย

    อานิสงส์ของการเจริญมรณสติ ๓ ประการข้างต้น คือการขวนขวายใส่ใจในสิ่งที่ชอบผัดผ่อน การปล่อยวางสิ่งที่ชอบติดยึด และการเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในด้านหนึ่งช่วยให้เราอยู่อย่างมีความสุขและใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึง เพราะเมื่อได้ทำสิ่งที่สมควรทำเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งคั่งค้างกังวลใจ ไร้ความห่วงหาอาลัย อีกทั้งละเว้นสิ่งที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ ก็พร้อมจะจากโลกนี้ไปด้วยใจสงบ การอยู่อย่างมีความสุขและมีคุณค่า กับการเตรียมตัวตายอย่างสงบจึงเป็นเรื่องเดียวกัน หาได้แยกจากกันไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งหากต้องการตายเป็นก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้เป็นด้วย ในข้อนี้ท่านพุทธทาสภิกขุได้เคยกล่าวในรูปปุจฉาวิสัชนาว่า “เตรียมสำหรับตายให้ดีที่สุดอย่างไร? ตอบ: อยู่ให้ดีที่สุด ! เตรียมสำหรับอยู่ให้ดีที่สุดอย่างไร? ตอบ:เตรียมพร้อมสำหรับที่จะตายนะซี่!”

    การเตรียมตัวตายที่ดีที่สุดคือการอยู่อย่างพร้อมที่จะตายอยู่เสมอ นั่นคือทำความดีทุกขณะที่มีโอกาส และฝึกใจให้รู้จักปล่อยวาง ขณะเดียวกันก็ระลึกถึงความตายอยู่เป็นนิจเพื่อกระตุ้นเตือนให้ทำกิจทั้งสองประการดังกล่าว การเจริญมรณสติยังช่วยให้เราพร้อมเผชิญความตายได้ดีขึ้น ตรงที่เป็นการฝึกใจให้คุ้นกับความตายอยู่เสมอ ดังได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่าความตายไม่น่ากลัวมากเท่ากับความกลัวตาย และสาเหตุที่เรากลัวตายมากก็เพราะไม่คุ้นชินกับความตายโดยเฉพาะความตายของตัวเอง ปัญหานี้จะลดลงไปเมื่อเราเจริญมรณสติอยู่เสมอ เพราะช่วยให้ใจคุ้นชินกับความตายของตัวเอง หากความคุ้นชินนั้นมิได้เกิดในระดับความคิดหรือสมองเท่านั้น แต่ลงไปถึงอารมณ์ความรู้สึกหรือหัวใจ ก็จะทำให้เรายอมรับความตายของตนเองได้ง่ายขึ้น

    การฝึกตายอยู่เสมอเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เรายอมรับความตายในระดับอารมณ์ความรู้สึกด้วย เพราะการฝึกชนิดนี้ ยิ่งจินตนาการได้ใกล้เคียงความจริงมากเท่าไร ความกลัว ความอึดอัด และความห่วงหาอาลัย จะถูกกระตุ้นขึ้นมามากเท่านั้นโดยเฉพาะในใจของผู้ฝึกใหม่ การตระหนักรู้ในอารมณ์ดังกล่าวจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับมันได้ดีขึ้นเมื่อความตายมาใกล้ตัวจริง ๆ ขณะเดียวกันการเผชิญกับสถานการณ์ที่คุกคามชีวิต แม้จะเป็นแค่สมมติหรือจินตนาการ แต่ก็ช่วยให้เรามีความคุ้นกับมันมากขึ้น จึงช่วยลดความตื่นตระหนกว้าวุ่นหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาจริง ๆ

    การฝึกตายหากทำอย่างสม่ำเสมอมากเท่าไร ก็มีผลดีต่อจิตใจมากเท่านั้น วิธีที่จะทำให้การฝึกตายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอก็คือการทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ท่านพุทธทาสภิกขุได้เสนอแนะวิธีการการฝึกตายที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิต นั่นคือ “ตายก่อนตาย” หมายถึงฝึกการตายจากกิเลส หรือตายจากการยึดมั่นในตัวตน คือทำให้ตัวตนตายไปก่อนที่จะหมดลม

    ตัวตนนั้นมิได้มีอยู่จริง หากเกิดจากการปรุงแต่งของใจ เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายในตัวตนแล้ว ก็จะเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ตามมาว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ความสำเร็จ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่จำกัดเฉพาะสิ่งที่พึงปรารถนา แม้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ยังอดยึดไม่ได้ว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ด้วยเหมือนกัน เช่น ความโกรธ(ของกู) ความเกลียด(ของกู) ศัตรู(ของกู) ความยึดมั่นในตัวกูของกูนี้เองที่ทำให้เรากลัวความตายเป็นอย่างยิ่งเพราะความตายหมายถึงการพลัดพรากสูญเสียไปจากสิ่งทั้งปวง และสิ่งที่เรากลัวที่สุดคือพลัดพรากจากตัวตนหรือการดับสูญของตัวตน

    เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ความตายก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะจะไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใด ๆ เลยในเมื่อไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่สำคัญที่สุดคือไม่มี “เรา”ตาย เพราะตัวเราไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้การฝึกใจให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจึงเป็นวิธีเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด

    ท่านพุทธทาสภิกขุได้แนะนำวิธีปฏิบัติหลายประการเพื่อการละวางตัวตน วิธีหนึ่งก็คือฝึก “ความดับไม่เหลือ” กล่าวคือทุกเช้าหรือก่อนนอนให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ แล้วพิจารณาให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราหรือของเราแม้แต่สักอย่างเดียว รวมทั้งพิจารณาว่าการ “เกิด”เป็นอะไรไม่ว่าเป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนดี เป็นคนชั่ว เป็นคนสวย เป็นคนขี้เหร่ ก็ล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น “เกิด”ในที่นี้ท่านเน้นที่ความสำคัญมั่นหมายหรือติดยึดว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เมื่อเห็นแล้วให้ละวางความสำคัญมั่นหมายดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิด “ตัวกู”ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ (แต่การทำหน้าที่ตามสถานะหรือบทบาทดังกล่าวก็ยังทำต่อไป) เป็นการน้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือแห่งตัวตน

    เมื่อทำจนคุ้นเคย ก็นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อใดที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส หรือจิตนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา ก็ให้มีสติเท่าทันทุกคราวที่ “ตัวกู”เกิดขึ้น นั่นคือเมื่อเห็น ก็สักว่าเห็น ไม่มี “ตัวกู”ผู้เห็น เมื่อโกรธ ก็เห็นความโกรธเกิดขึ้น ไม่มี “ตัวกู”ผู้โกรธ เป็นต้น

    การปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อดับ “ตัวกู”ไม่ให้เหลือ ซึ่งก็คือทำให้ตัวกูตายไปก่อนที่ร่างกายจะหมดลม หากทำได้เช่นนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป หรือกล่าวอย่างถึงที่สุด ความตายก็ไม่มีด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผู้ตายตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นวิธีเอาชนะความตายอย่างแท้จริง แต่ถึงแม้ตัวกูจะไม่ตายไปอย่างสิ้นเชิง ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูอยู่ เมื่อจวนเจียนจะตายท่านพุทธทาสภิกขุได้แนะนำให้น้อมจิตสู่ความดับไม่เหลือเช่นเดียวกัน นั่นคือละวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นตัวกูของกู วิธีการนี้ท่านเปรียบเสมือน “ตกกระไดแล้วพลอยกระโจน” กล่าวคือเมื่อร่างกายทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จิตก็ควรกระโจนตามไปด้วยกัน ไม่ห่วงหาอาลัยหรือหวังอะไรอย่างใดอีกต่อไป ไม่คิดจะเกิดที่ไหนหรือกลับมาเกิดใหม่อีกต่อไป นาทีสุดท้ายของชีวิตเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่จิตจะปล่อยวางตัวกูเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง จึงนับว่าเป็น “นาทีทอง”อย่างแท้จริง

    บทส่งท้าย

    พระอาจารย์ลี ธมมธโร เคยกล่าวว่า “คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตาย” ท่านได้ข้อคิดนี้จากเรื่องเล่าของชายแก่คนหนึ่งซึ่งรอดชีวิตจากกรงเล็บของหมีใหญ่อย่างหวุดหวิด หมีตัวนั้นเข้ามาทำร้ายเขาและภรรยาขณะที่กำลังหาของป่า ภรรยาหนีขึ้นต้นไม้ทัน ส่วนชายแก่ถูกหมีปราดเข้ามาประชิดตัว พยายามต่อสู้ แต่สู้ไม่ได้ ภรรยาจึงตะโกนว่า ให้นอนหงายเหมือนคนตาย อย่ากระดุกกระดิก ชายแก่จึงทำตาม ล้มนอนแผ่ลงกลางพื้นดิน ไม่ไหวติงเหมือนคนตาย หมีเห็นดังนั้นจึงหยุดตะปบ ยืนคร่อมตัวเอาไว้ ดึงขาและหัวชายแก่ แล้วใช้ปากดันตัวอยู่พักหนึ่ง เขาก็ทำตัวอ่อนไปอ่อนมา ขณะเดียวกันก็บริกรรมว่า “พุทโธ”ไปด้วย หมีเห็นชายแก่ไม่กระดุกกระดิก คิดว่าเขาตายแน่แล้วจึงเดินจากไป

    ชายแก่รอดตายได้เพราะทำตัวเหมือนคนตาย แต่คำพูดของพระอาจารย์ลีมีความหมายลึกกว่านั้น ในแง่หนึ่งคืออยู่อย่างปล่อยวางทุกสิ่ง ไร้ความยินดียินร้ายในโลกธรรม ไม่อาลัยในชีวิต ผู้ที่ทำใจได้เช่นนี้แม้เผชิญความตายต่อหน้า ย่อมมีจิตสงบ ความทุกข์ทรมานมิอาจย่ำยีบีฑาได้ เท่ากับว่าอยู่เหนือความตาย ลึกลงไปกว่านั้นก็คือการอยู่อย่างไม่มีตัวกู พร้อมจะตายทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ความตายจึงทำอะไรไม่ได้ คือ “พ้นตาย”นั่นเอง

    การเจริญมรณสติคือการฝึกใจให้พร้อมตายทุกเมื่อ เป็นวิถีสู่การตายก่อนตายและการพ้นตาย แม้ด้านหนึ่งจะคล้ายกับการทำตนเหมือนคนตาย แต่อีกด้านหนึ่งคือการปลุกใจให้ตื่นจากความประมาท เพื่ออยู่อย่างมีชีวิตชีวา โปร่งโล่ง เบาสบาย เป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยความพากเพียรรับผิดชอบแต่ก็พร้อมปล่อยวางในเวลาเดียวกัน

    มรณสติเมื่อบำเพ็ญอย่างสม่ำเสมอ ย่อมช่วยให้เกิดปัญญาตระหนักรู้ว่าความตายมิได้เป็นปฏิปักษ์กับชีวิต แต่เป็นสิ่งที่สามารถหนุนเสริมและขับเคลื่อนชีวิตให้เป็นไปในทางที่งอกงามได้ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วชีวิตกับความตายนั้นหาได้แยกจากกันไม่ หากดำรงอยู่ควบคู่กับชีวิตตลอดเวลา ดังมีพุทธพจน์ว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต” สำหรับผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมดังกล่าว ความตายจึงไม่ใช่ศัตรู หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมดาที่สบตาได้อย่างสบายใจ

    บทพิจารณาสำหรับการเจริญมรณสติ

    ปัจฉิมพุทโธวาท

    หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
    วะยะธัมมา สังขารา
    สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อัปปะมาเทนะ สัมปะเทถะ
    ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
    อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา
    นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคตเจ้า

    บังสุกุลตาย

    อะนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง
    อุปปาทะวะยะธัมมิโน มีการเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
    เตสัง วูปะสะโม สุโข ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข

    บทพิจารณาสังขาร

    สัพเพ สังขารา อะนิจจา
    สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
    มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้ว ดับไป มีแล้ว หายไป
    สัพเพ สังขารา ทุกขา
    สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
    มันเป็นทุกข์ ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา
    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร และมิใช่สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น
    ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวตัวว่าตนของเรา
    อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
    ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของยั่งยืน
    อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง อันเราจะพึงตายแน่แท้
    มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ
    ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง
    มะระณัง เม นิยะตัง ความตายของเราเป็นของเที่ยง
    วะยะ ควรที่จะสังเวช
    อะยัง กาโย ร่างกายนี้
    อะจิรัง มิได้ตั้งอยู่นาน
    อะเปตะวิญญาโณ ครั้นปราศจากวิญญาณ
    ฉุฑโฑ อันเขาทิ้งเสียแล้ว
    อะธิเสสสะติ จักนอนทับ
    ปะฐะวิง ซึ่งแผ่นดิน
    กะลิงคะรัง อิวะ ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน
    นิรัตถัง หาประโยชน์มิได้

    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕

    สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
    เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
    เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
    เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
    เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทังสิ้น
    เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น
    :- https://visalo.org/article/D_Raluktung.htm
    ,,, skullunderlinemoving.gif

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
    พระไพศาล วิสาโล
    ข้าพเจ้าได้ยินชื่อหลวงพ่อเทียนมาเป็นเวลาหลายปีก่อนบวช ทั้งจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ลูกหาของท่านและจากหนังสือของกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม ซึ่งมีคุณวุฒิชัย ทวีศักดิ์ศิริผล เป็นกำลังสำคัญเวลานั้น ความจริง ๓-๔ ปีก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก คือในปี ๒๕๑๘ ข้าพเจ้าก็เคยติดตามเพื่อน ๆ สมาชิกชุมนุมศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลัดเลาะไปยังวัดสนามในซึ่งเวลานั้นหลวงพ่อเทียนและลูกศิษย์เพิ่งมาฟื้นฟูให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรม หลังจากเป็นวัดร้างมานาน ที่ข้าพเจ้าใช้คำว่า “ลัดเลาะ” ก็เพราะเวลานั้น ทางไปวัดสนามในยังมิใช่เป็นถนนคอนกรีตตลอดสาย บ้านจัดสรรยังไม่ขยายลึกเข้าไปจนเนืองแน่นเหมือนทุกวันนี้ จะมีก็แต่เรือกสวนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเดินเข้าไปเป็นหลัก หากแต่คราวนั้นพวกเรามิได้พบหลวงพ่อเทียน ไปถึงวัดไม่นานก็กลับ ยังจำได้ว่า รอบวัดสนามในเมื่อ ๑๔ ปีก่อน ยังเป็นชนบทแท้ ๆ ผู้คนอยู่กันอย่างพื้น ๆ สมถะ เยี่ยงชาวสวนชานเมือง โดยที่รถโดยสารก็ไม่ต่างจากรถ “โคตรทรหด” ที่เคยเห็นในหนังเรื่อง “ครูบ้านนอก” เท่าใดนัก ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากสี่แยกสะพานกรุงธนเพียง ๒-๔ กิโลเมตรเป็นอย่างมาก


    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็หาได้มีความสนใจหลวงพ่อเทียนเป็นพิเศษไม่ หนังสือธรรมเทศนาของท่านที่กลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมพิมพ์เผยแพร่ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสอ่านจริง ๆ จัง ๆ ทั้ง ๆ ที่ได้รับแจกมาหลายเล่ม แต่ที่สะดุดใจคือ รายการเก็บอารมณ์ที่กลุ่ม ฯ จัดเป็นประจำที่วัดสนามใน ได้ทราบว่าหลายคนได้รับอานิสงส์จากการปฏิบัติธรรมที่นั่นมาก จึงตั้งใจว่าจะหาโอกาสปลีกตัวไปร่วมรายการดังกล่าวบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทำดังที่คิดไว้ จนกระทั่ง ๒-๓ อาทิตย์ก่อนบวช คือ ปลายเดือนมกราคม ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปวัดสนามในเป็นครั้งแรกในรอบ ๗ ปี แต่ที่เข้าไปก็เพราะได้ทราบจากเพื่อนว่า หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ เดินทางมายังวัดสนามใน ในช่วงนั้นเป็นโอกาสดีที่จะขอไปฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านที่วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ และอยู่ที่วัดนั้น ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นภิกษุชรารูปหนึ่งเดินจงกรมอยู่หน้ากุฏิ แต่งตัวดังพระเซน มีคนบอกว่านั้นแหละหลวงพ่อเทียน ตอนนั้นท่านกลับจากการเปิดอบรมธรรมที่สิงคโปร์ไม่นาน และอยู่ในระหว่างพักฟื้นจากการผ่าตัด นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อเทียน แต่ก็หาได้เข้าไปกราบคารวะท่านไม่ พอเสร็จธุระกับหลวงพ่อคำเขียน ก็ลาท่านกลับเลย

    ข้าพเจ้ามาวัดสนามในอีกที ๑ เดือนหลังจากนั้น จำได้ว่าเป็นวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ คราวนี้มาในเพศบรรพชิต โดยเปลี่ยนใจมาปฏิบัติธรรมที่วัดสนามในแทนตามคำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียน ท่านว่าวัดป่าสุคะโตนั้นกันดารมาก หากมาอยู่ที่วัดสนามในจะสะดวกแก่การปฏิบัติมากกว่า อีกทั้งหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย สามารถช่วยเหลือในด้านการปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ ส่วนท่านเองจะลงมาสอนกรรมฐานให้ข้าพเจ้าเป็นประเดิมในอาทิตย์แรกด้วย

    ครั้นไปถึงก็มิได้พบหลวงพ่อคำเขียน และไม่ทราบว่าท่านจะลงมาวัดสนามในเมื่อไร วันแรกจึงปฏิบัติผิด ๆ ถูก ๆ อาศัยการสังเกตจากพระเณรรูปอื่น ๆ เป็นหลัก ไม่มีใครมาแนะนำการปฏิบัติ ต่อเมื่อถึงเย็นวันที่ ๒ จึงมีคนไปเรียนให้หลวงพ่อเทียนทราบ ดูเหมือนหลวงพ่อคำเขียนจะปรารภกับท่านเรื่องข้าพเจ้าก่อนแล้ว พอท่านทราบชื่อข้าพเจ้า ท่านก็เดินลงมาจากกุฏิ และสอนวิธีเจริญสติแก่ข้าพเจ้าที่ลานหน้ากุฏิท่าน ท่านสอนว่าไม่ว่าจะเดินหรือสร้างจังหวะ ก็ให้ “รู้สึก” อยู่เสมอ อย่าไปสนใจความคิด รู้อยู่แต่ที่การเคลื่อนไหวของกาย จะคิดอะไรก็แล้วแต่ พอรู้ตัวก็ให้กลับมาอยู่ที่กายนั่นแหละ ท่านแนะไม่ถึง ๕ นาที เสร็จแล้วท่านก็บอกให้ข้าพเจ้าไปปฏิบัติ ข้อนั้นไม่สู้กระไร แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือประโยคท้าย ๆ ของท่านที่ว่า ให้ปฏิบัติทั้งวันไม่ต้องพูดคุยกับใคร อยู่แต่ในกุฏินั่นแหละ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็หนักใจขึ้นมาทันที เพราะลำพังการปฏิบัติ ๘ ชั่วโมง ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ก็รู้สึกเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นี่ท่านกลับให้ทำทั้งวัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ออกปากกับท่าน คิดว่าลองทำตามที่ท่านแนะมาก็แล้วกัน

    ในช่วงแรก ๆ หลวงพ่อเทียนหมั่นมาสอบอารมณ์ข้าพเจ้าที่กุฏิทุกวัน ๆ ละ ๒ ครั้ง คือเช้ากับเย็น เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องตั้งใจปฏิบัติตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าท่านจะเดินมาหาเมื่อไร ท่านมาแต่ละครั้งก็ถามเพียงว่าเป็นอย่างไร และแนะว่าให้รู้สึกอยู่เสมอ กระนั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกเกรงใจท่านอย่างยิ่ง เพราะยังไม่ประสบความก้าวหน้าในการปฏิบัติเลย ไม่รู้ว่า “ความรู้สึก” ที่ท่านพูดนั้นเป็นอย่างไร ใจนั้นหนักไปในด้านการเพ่งอิริยาบถการเคลื่อนไหวของกาย หาไม่ก็เพ่งและคอยสกัดกั้นความคิดมิให้กำเริบ ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ผิดทั้งนั้น แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถรู้สึกได้โดยไม่เอียงสุดไปข้างใดข้างหนึ่ง อันได้แก่การเพ่งจ่อและการปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    (ต่อ)
    อย่างไรก็ตามหลวงพ่อเทียนก็อดทนที่จะมาหาข้าพเจ้าและฟังคำตอบเดิม ๆ อยู่เสมอ จนข้าพเจ้าต้องพยายามนึกหาคำตอบใหม่ ๆ แต่แม้ท่านจะแนะนำอย่างไร ข้าพเจ้าก็หาเข้าใจไม่ บางวันท่านก็มาสอนวิธีกวาดพื้นอย่างมีสติ ท่านย้ำเสมอว่าการเจริญสติมิได้อยู่ที่การเดินจงกรม หรือการปฏิบัติในรูปแบบ แต่นักปฏิบัติควรให้การกระทำทุกอย่างเป็นการเจริญสติไปในตัว ไม่ว่าจะเดิน นั่ง หรือกวาดใบไม้ แม้เวลากระพริบตา กลืนน้ำลาย ก็ให้รู้สึกอยู่เสมอ ระยะหลัง ๆ ท่านมิได้มาเอง หากให้อาจารย์ทอง อาภากโร มาช่วยสอบอารมณ์แทน

    กว่าข้าพเจ้าจะรู้จักวิธีเจริญสติอย่างถูกต้องตามที่ท่านแนะนำก็หมดเวลาเป็นเดือน ระหว่างนั้นต้องเป็นทุกข์ทั้งกายและใจอย่างยิ่ง หากมิได้ตั้งจิตอธิษฐานก่อนมาวัดสนามในว่าจะอยู่ที่นั่นให้ครบ ๑ เดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็คงเลิกปฏิบัติและย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ประสบการณ์ช่วงนี้ข้าพเจ้าเขียนไว้ในที่อื่นอย่างละเอียดแล้ว จึงจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าพเจ้าผ่านช่วงวิกฤตดังกล่าวไปได้ ได้เห็นอานิสงส์ของสติที่มีพลัง ว่องไว ก็อดซาบซึ้งในคุณครูบาอาจารย์ไม่ได้ ที่ท่านได้เพียรพยายามชี้แนะด้วยความกรุณา

    หลังจากนั้น หลวงพ่อเทียนก็ยังมาให้คำชี้แนะในการปฏิบัติเป็นครั้งคราว คราวหนึ่งข้าพเจ้าเก็บอารมณ์ไม่ไปฉันรวมกับหมู่คณะที่ศาลา ซึ่งเนืองแน่นด้วยญาติโยมเนื่องจากเป็นวันสงกรานต์ ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่คนเดียวไม่ไกลจากกุฏิท่านเท่าใดนัก ท่านแลเห็นก็เดินเข้ามาหา คราวนี้นอกจากจะสอบถามชี้แนะการปฏิบัติอย่างเคยแล้ว ท่านยังพูดเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ อันเป็นเรื่องพื้น ๆ ทั่วไปที่มิใช่เรื่องการปฏิบัติ ดูไม่มีพิธีรีตองอันใด กับชาวบ้านซึ่งบังเอิญเดินผ่านมา ท่านก็พูดด้วยอย่างเป็นกันเอง ดูไม่ต่างจากพระหลวงตาธรรมดารูปหนึ่ง ช่วงนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้เห็นอีกมิติหนึ่งของท่าน คือความเป็นธรรมดาสามัญ ที่ปราศจากความโดดเด่นเคร่งขรึม ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ผู้ใหญ่ ซึ่งมีผู้เคารพนับถือเป็นอันมาก ความเป็นธรรมดาสามัญของท่านดังกล่าว ทำให้หลายคนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของท่าน หากบังเอิญได้มาพบท่านโดยไม่รู้ว่าท่านเป็นใครแล้วก็ย่อมนึกไม่ถึงว่าท่านคือ หลวงพ่อเทียน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ

    เดิมข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะบวชเพียง ๓ เดือน ต่อมาขยายเป็น ๖ เดือน หลวงพ่อเทียนเป็นพระเถระรูปหนึ่งซึ่งแนะข้าพเจ้าให้บวชนานกว่านั้น การที่ข้าพเจ้าได้อยู่ปฏิบัติต่อที่วัดสนามในและภายหลังย้ายไปที่วัดป่าสุคะโตต่อมาอีกหลายปีนั้น ในด้านหนึ่งก็ทำให้เห็นคุณวิเศษของท่านมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็พลอยได้เห็นขีดจำกัดของท่าน โดยเฉพาะในเรื่องการรับรู้และการเกี่ยวข้องกับโลกสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงเรื่องการบริหาร การจัดการ ยิ่ง ๕ ปีหลัง ท่านมาให้ความสนใจกับการสร้างสำนักปฏิบัติธรรมแนวใหม่ที่จังหวัดเลย ขีดจำกัดดังกล่าวก็เห็นเด่นชัดขึ้น แต่นี้ก็ช่วยให้ข้าพเจ้าได้เห็นความเป็นธรรมดาสามัญของท่านมากขึ้น ท่านจึงเป็นแบบอย่างที่มีชีวิตชีวา มีความเป็นมนุษย์อันเราสามารถเรียนรู้จากท่านได้ทั้งในทางบวกและลบ โดยที่เรายังสามารถเคารพท่านได้อย่างสนิทใจ

    แต่หากกล่าวในเรื่องทางธรรมแล้ว หลวงพ่อเทียนมีวิธีการสอนที่แปลกและไม่หยุดนิ่ง ความที่ท่านเติบโตในทางธรรมโดยไม่จำกัดที่สำนักหรือสายการปฏิบัติใดเป็นพิเศษ ทั้งท่านยังได้ประจักษ์แจ้งสัจจะด้วยวิธีการของท่านเอง ดังนั้นแนวการสอนของท่านจึงแหวกออกไปจากประเพณีการปฏิบัติแต่ดั้งเดิมที่แพร่หลายในเมืองไทย อาทิ การไม่เน้นพิธีรีตอง การใช้ถ้อยคำสำนวนที่มีลักษณะเฉพาะ และวิธีการอบรมที่ผิดกับสายปฏิบัติแบบวัดป่าทั่วไป ทั้งนี้ไม่จำต้องพูดถึงวิธีการเจริญสติที่เป็นแบบฉบับของท่านโดยเฉพาะ กล่าวกันว่า เมื่อแรกที่ท่านสอนธรรมแก่คนทั่วไปนั้น ท่านแทบจะไม่พูดเลย หากแต่อาศัยอากัปกริยาบางอย่างเป็นสื่อแสดงสภาวธรรม และกระตุ้นให้คนฉุกคิดขึ้นมา แต่ในช่วงหลังท่านใช้คำพูดเป็นสื่อแสดงธรรมมากขึ้น และท่านดูตั้งใจในเรื่องนี้มาก ทั้งยังพยายามศึกษาการแสดงธรรมของอาจารย์ท่านอื่น ในช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่วัดสนามในนั้น เนื่องจากกุฏิของข้าพเจ้าอยู่หลังกุฏิท่านเพียงแค่คูน้ำเล็ก ๆ คั่นกลาง จึงได้ยินและเห็นท่านฟังเทปธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุอยู่เนือง ๆ

    แม้ว่าท่านจะเป็นพระเถระที่มีเมตตา เข้าหาได้ง่ายและเป็นกันเอง แต่ในเรื่องการสอนธรรมแล้ว ท่านกวดขันเอาใจใส่มาก กล่าวกันว่า เมื่อท่านยังมีกำลังวังชาอยู่นั้น ท่านตรวจตราตามกุฏิ และจ้ำจี้จ้ำไชลูกศิษย์เป็นคน ๆ เลยทีเดียว ข้าพเจ้ามาไม่ทันเห็นภาพดังกล่าว แต่ก็ยังโชคดีมาเห็นท่านหมั่นมาสอบอารมณ์ของลูกศิษย์สม่ำเสมอ

    หลวงพ่อเทียนนั้น แม้ท่านจะดูเหมือนพระหลวงตาธรรมดารูปหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องกิจการงานทางโลก แต่เวลาท่านก้าวสู่อาณาจักรแห่งธรรมปฏิบัติ โดยลงมาควบคุมการปฏิบัติและชี้แนะสอบอารมณ์ลูกศิษย์ตามกุฏิด้วยตัวเองแล้ว ท่านดูสง่าดังบุรุษอาชาไนย ซึ่งเปี่ยมด้วยพลัง ไม่ยอมแพ้ต่อสังขารอันบอบบางของท่าน ทั้งไม่เคยยอมจำนนต่อความเขลาเบาปัญญาของลูกศิษย์ ท่านจะเพียรพยายามกระตุ้นลูกศิษย์ กระตุ้นแล้วกระตุ้นเล่าอย่างเปี่ยมด้วยปัญญาคุณและกรุณาคุณ แต่เมื่อท่านป่วยหนักจนต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ ๒ ตอนกลางพรรษาปี ๒๕๒๖ ท่านก็ดูอ่อนแรงไปมาก การกวดขันการปฏิบัติชนิดตัวต่อตัวลดน้อยลงไป ท่านหันไปเน้นการบรรยายธรรม หาไม่ก็พักฟื้น แต่ก็มีบางครั้งที่ท่านไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ลุกขึ้นมากวดขันการปฏิบัติในวัดดังที่ท่านเคยปฏิบัติ ในยามนั้นท่านกลับดูเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ในความรู้สึกของข้าพเจ้าท่านดูสง่าดังแม่ทัพที่กลับมายังสมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมรภูมิรบที่ท่านเจนจัดและเป็นชีวิตจิตใจของท่าน ดูเหมือนว่าในพรรษา ๒๕๓๑ อันเป็นพรรษาสุดท้ายของท่าน ท่านได้หันมากวดขันอย่างจริงจังกับพระเณรที่สำนักทับมิ่งขวัญ แต่ท่านไม่ทันได้ทำตลอดพรรษาก็ดับขันธ์เสียก่อน

    หลวงพ่อเทียนได้จากไปอย่างสงบและอย่างธรรมดาสามัญที่สุด ดังใบไม้ที่ปลิดขั้วและร่อนสู่พื้นอย่างแผ่วเบา คืนสู่ธรรมชาติอันเป็นที่มาของท่านและของชีวิตทั้งหลาย ท่านมิใช่อะไรอื่น หากเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งเหตุปัจจัย ซึ่งบังเกิดขึ้นมาในยุคของเรา เพื่อเกื้อหนุนโน้มนำเราท่านทั้งหลายให้ตระหนักในคติธรรมดาของชีวิต และเพียรพยายามเข้าถึงภาวะแห่งความสว่างไสวด้วยอำนาจแห่งสติและปัญญาซึ่งมีอยู่ในเราทุกคน ท่านได้ทำจนหมดอายุขัยสิ้นเหตุปัจจัยที่ท่านจะดำรงอยู่ต่อไป คงเหลือแต่เราท่านซึ่งยังมีภาระที่จะต้องทำ มีขันธ์ที่จะต้องแบก แต่ธรรมที่ท่านสอนนั้นสามารถช่วยให้ภาระดังกล่าวสิ้นสุดลงและทำขันธ์ให้เบาบางลงไปได้ นี้เองที่ทำให้หลวงพ่อเทียนเป็นดังดวงเทียนท่ามกลางกระแสธรรมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเรา
    :- https://visalo.org/article/paja255107.htm
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ชัยชนะของผู้ไม่ยอมแพ้
    ภาวัน
    หากเกมกีฬาสามารถให้บทเรียนชีวิตแก่เราได้ อย่างน้อยก็มีสองประการที่กีฬาสอนใจเราได้นั่นคือ ไม่มีอะไรที่แน่นอน และทุกอย่างเป็นไปได้เสมอตราบใดที่เวลายังไม่หมด

    สำหรับแฟนฟุตบอลทั่วโลก สุดยอดของนัดชิงชนะเลิศถ้วยสโมสรยุโรป หรือยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่ประทับแน่นในความทรงจำ ย่อมหนีไม่พ้นนัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับทีมบาเยิร์นมิวนิค ที่ประเทศสเปนเมื่อปี ๒๕๔๒

    ครั้งนั้นบาเยิร์น ฯ สามารถทำประตูได้ตั้งแต่นาทีที่ ๖ และสามารถต้านทานการรุกของแมนยู ฯได้ตลอดครึ่งแรก ครึ่งหลังแมนยู ฯ ยังคงบุกหนัก แต่ก็ทำประตูไม่ได้เลย จนถึงนาทีที่ ๙๐ บาเยิร์น ฯ ก็ยังนำอยู่ ๑ : ๐ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว แฟนบาเยินร์น ฯ ที่เมืองมิวนิคถึงกับจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองก่อนที่การแข่งขันจะยุติ ส่วนผู้จัดก็ผูกริบบิ้นติดชื่อบาเยิร์น ฯ ไว้กับถ้วยเรียบร้อยแล้ว

    ชัยชนะต้องเป็นของบาเยิร์น ฯ อย่างแน่นอนหากกรรมการไม่ทดเวลาบาดเจ็บ ๔ นาที แล้วนาทีที่ ๙๑ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อเท็ดดี้ เชอริงแฮมของแมนยู ฯ ยิงประตูเข้า เกมทำท่าจะต้องต่อเวลา ๓๐ นาที แต่ผ่านไปแค่ ๒ นาทีเท่านั้น โอเล่ โซชา ก็สร้างปาฏิหาริย์เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อเขาทำประตูชัยให้แมนยู ฯ แฟนบาเยิร์น ฯ ตกตะลึงทั้งสนาม

    เพียงแค่ ๓ นาทีเท่านั้น ถ้วยที่เกือบจะเป็นของบาเยิร์นอย่างแน่นอนแล้วก็หลุดไปเป็นของแมนยู ฯ ทันที

    นัดชิงชนะเลิศอีกนัดหนึ่งซึ่งถือว่าประทับใจไม่มีวันลืม คือนัดชิงระหว่างลิเวอร์พูลกับเอซีมิลานที่ประเทศตุรกีเมื่อปี ๒๕๔๘ ครึ่งแรกมิลานถล่มลิเวอร์พูลถึง ๓:๐ แฟนลิเวอร์พูลหลายคนผิดหวังถึงกับเดินคอตกออกจากสนามทันทีที่หมดครึ่งแรก อีกไม่น้อยปิดโทรทัศน์เพราะไม่อยากเห็นลิเวอร์พูลถูกเชือดมากกว่านี้

    ครึ่งหลังมิลานลงสนามด้วยความมั่นใจ แต่เล่นได้แค่ ๙ นาที สตีเฟน เจอร์ราดก็ทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้ แม้กระนั้นก็ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลยากจะตีตื้นได้ แต่ผ่านไปอีก ๒ นาทีมิลานก็เสียประตูที่ ๒ เท่านั้นยังไม่พอคล้อยหลังไปอีก ๔ นาที ลิเวอร์พูลก็ได้ประตูที่ ๓ ไม่มีใครเชื่อว่าเพียงแค่ ๖ นาทีเท่านั้น มิลานซึ่งเป็นทีมสุดยอดของยุโรปจะเสียไปถึง ๓ ประตู

    การแข่งขันนัดนั้นจบลงด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูลจากการเตะลูกโทษเข้าได้มากกว่า คือ ๓:๒

    มิลานกลับบ้านมือเปล่าอย่างพลิกความคาดหมาย

    ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลาแข่ง ก็ยังบอกไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ แม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกนำไปมากมาย หรือถูกนำตลอดจนเกือบนาทีสุดท้าย ก็อาจลงเอยด้วยการเป็นผู้ชนะก็ได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นความเพียร

    ในทำนองเดียวกันตราบใดที่ยังไม่หมดลมหรืองานยังไม่เลิกรา ก็อย่าเพิ่งท้อแท้หมดหวัง แม้อะไรต่ออะไรจะไม่เป็นดั่งใจ เพราะสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปเมื่อเรายังพยายามไม่หยุดหย่อน และรู้จักแก้ไขปรับปรุงข้อผิดพลาด

    ถึงจะเป็น “มวยรอง” ก็อย่าคิดว่าจะต้องเป็นผู้แพ้เสมอไป เพราะบางครั้งมวยรองก็มีสิทธิได้แชมป์เหมือนกัน ดังทีมกรีซซึ่งถูกคาดหมายว่ามีโอกาส ๑ ใน ๑๐๐ เท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นแชมป์ฟุตบอลยุโรปปี ๒๕๔๗ แต่แล้วในที่สุดก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการชนะเจ้าภาพคือโปรตุเกสทั้งนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    โอลิมปิคเกมส์ปีนี้ เราคงได้เห็นอีกครั้งว่า ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอตราบใดที่ยังไม่สิ้นความหวังและความเพียร ความเป็นไปได้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความพลิกผันระหว่างผู้แพ้กับผู้ชนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ในการข้ามพ้น “ขีดจำกัด”ของมนุษย์ ดังที่ครั้งหนึ่งโรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งชาวอังกฤษได้พิสูจน์เมื่อ ๕๔ ปีก่อนว่ามนุษย์เราสามารถวิ่งระยะทาง ๑ ไมล์ด้วยเวลาไม่ถึง ๔ นาทีนับเป็นการทำลายความเชื่อที่สืบทอดกันมานับพันปีว่า ๔ นาทีคือเวลาน้อยสุดที่มนุษย์สามารถทำได้สำหรับระยะทางดังกล่าว

    กีฬานั้นให้บทเรียนชีวิตได้มากมาย ถ้ามองเป็นก็ได้เห็นสัจธรรมอันทรงคุณค่า
    :- https://visalo.org/article/Image255105.htm
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    สุขมีที่กลางทาง
    ภาวัน

    นิโคลัส เบนเนตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและการพัฒนาชาวอังกฤษ เคยเป็นที่ปรึกษาให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว ในช่วง ๓ ปีสุดท้ายที่เมืองไทย เขามีบทบาทในการรณรงค์เพื่อนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดี ๖ ตุลา ฯ จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปประเทศเนปาล โดยเลือกที่จะทำงานกับชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล แทนที่จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวง ทั้งนี้เพื่อให้แผนพัฒนาสอดคล้องกับความเป็นจริง และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    เขาเล่าประสบการณ์ตอนหนึ่งว่า บ่อยครั้งเขามีกิจต้องเข้าเมืองหลวงคือกาฏมาณฑุ วิธีที่สะดวกที่สุดคือ ไปทางเครื่องบิน ลานบินที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ในหุบเขา ซึ่งต้องใช้เวลาไต่เขา ๒ ชั่วโมง แต่เนื่องจากดินฟ้าอากาศที่นั่นแปรปรวนบ่อย ดังนั้นจึงไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า เครื่องบินจะมาตามกำหนดหรือไม่ อย่างเดียวที่ทำได้คือไต่เขาลงไปตั้งแต่เช้าแล้วคอยเครื่องบิน ถ้ารอจนถึงเย็นแล้วเครื่องบินยังไม่มาก็ต้องปีนเขากลับ ซึ่งใช้เวลาอีก ๓ ชั่วโมง บางครั้งเขาต้องลงเขาและขึ้นเขาอย่างนี้ทุกวันตลอดสัปดาห์กว่าฟ้าจะเปิดให้เครื่องบินร่อนลงได้ บางวันอากาศตอนเช้าปลอดโปร่ง เครื่องบินน่าจะลงได้ แต่พอเดินทางไปถึงลานบิน ฟ้าก็ปิดเมฆหนา เครื่องบินลงไม่ได้เสียแล้ว

    เจอแบบนี้บ่อย ๆ ใคร ๆ ก็ต้องหงุดหงิดหัวเสีย แต่สำหรับนิโคลัส ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขาเรียนรู้ว่าไม่ควรคาดหวังกับจุดหมายปลายทาง แต่ควรหันมาเพลิดเพลินผ่อนคลายกับการเดินทางแทน ดังนั้นระหว่างที่ลงเขาหรือขึ้นเขา นิโคลัสจะชื่นชมกับธรรมชาติ และหาเวลาจิบชาร้อน ๆ สัก ๒-๓ ถ้วย การถึงกาฏมาณฑุกลายเป็นเรื่องรอง จะถึงหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือความเพลิดเพลินจากการเดินทางต่างหาก

    ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทาง จิตใจจดจ่ออยู่แต่การไปให้ถึง จึงมักเดินทางด้วยความทุกข์เพราะใจอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ ยิ่งมีอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่ถึงเป้าหมายตามกำหนด ก็ยิ่งหงุดหงิดกระสับกระส่าย โดยลืมไปว่าหงุดหงิดหรือกังวลอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นแต่อย่างใด บางคนตั้งใจจะไปเที่ยว แต่แล้วกลับหัวเสียตลอดทางเพราะรถติดบ้าง เพื่อนร่วมคณะชักช้างุ่มง่ามบ้าง กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ผ่อนคลายจิตใจ การเที่ยวกลับทำให้เครียดตั้งแต่เริ่มเดินทางด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพราะมีความคาดหวังเต็มที่กับจุดหมายปลายทาง

    เรามักลืมไปว่า การเดินทางมีความสำคัญไม่น้อยกว่าจุดหมายปลายทาง แม้จะมีสิ่งสำคัญรออยู่ที่ปลายทาง แต่นั่นเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และจะมาถึงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางต่างหากที่เป็นของจริงและแน่นอน เราจึงควรเก็บเกี่ยวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่ยังไม่ถึงจุดหมาย เราก็ควรจะมีความสุขหรือทำใจให้สบายระหว่างการเดินทาง การละทิ้งความสุขระหว่างเดินทาง เพื่อหวังความสุขที่จุดหมายปลายทางนั้น เป็นการหวังน้ำบ่อหน้า แม้จุดหมายปลายทางคือรีสอร์ตหรือแหล่งท่องเที่ยว แต่ทำไมเราจึงรอคอยความสุขที่อยู่ข้างหน้า ในเมื่อเราสามารถมีความสุขตรงนี้เดี๋ยวนี้ได้เลย

    ไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทางที่เป็นสถานที่เท่านั้น กับความสำเร็จก็เช่นกัน ทำไมเราจึงหวังว่าจะมีความสุขต่อเมื่อบรรลุความสำเร็จแล้ว ในเมื่อระหว่างที่ทำงานเราก็สามารถมีความสุขได้ ขอเพียงแต่วางใจให้เป็น คือ ไม่มัวจดจ่ออยู่กับความสำเร็จ แต่เอาใจมาอยู่กับการงานแทน เพียงแค่ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลข้างหน้า ก็ช่วยลดความกังวลไปได้มากแล้ว

    ประสบการณ์ของนิโคลัส ยังบอกเราอีกด้วยว่า เมื่อเจอสถานการณ์ที่คาดหวังอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะเป็นทุกข์หงุดหงิดหัวเสีย เพราะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น จะดีกว่าหากเรายอมรับความจริง และมีความสุขในปัจจุบันขณะ ถ้าวางใจได้อย่างนี้ เราจะไม่หัวเสียเวลาเจอรถติด แต่จะหันมาผ่อนคลายจิตใจด้วยการฟังเพลงในรถ สนทนากับลูก ๆ ที่นั่งมาด้วย หรือไม่ก็น้อมใจสงบอยู่กับลมหายใจเข้าออก
    :- https://visalo.org/article/Image255508.htm
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    ชีวิตต้องเสี่ยง
    ภาวัน
    เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อนที่มาเยี่ยมสงสัยว่าเขาเมาแล้วขับ แต่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้แตะเหล้าสักหยด
    “แล้วแกทำอีท่าไหนรถถึงพลิกคว่ำ ขับเร็วเกินไปหรือเปล่า?” เพื่อนถาม
    “ข้าก็แค่เหยียบ ๙๐ แต่พอจะถึงเชียงใหม่ เห็นป้ายบอกว่า “ทางโค้งอันตราย” ข้าไม่อยากเจ็บตัว ก็เลยขับตรงไป ดีนะที่แค่ขาหัก ถ้าข้าเลี้ยวโค้งคงจะเจอหนักกว่านี้”

    ชายผู้นี้เห็นป้ายแล้วไม่อยากเสี่ยง เขากลัวอันตรายจากทางโค้ง จึงเลือกที่จะพุ่งตรงไป แต่การทำเช่นนั้นกลับเป็นอันตรายแก่เขายิ่งกว่า
    เรื่องนี้เป็นแค่ขำขัน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชีวิตจริงคนเป็นอันมากก็คิดคล้าย ๆ ชายผู้นี้ นั่นคือไม่กล้าเสี่ยง เจออะไรที่อันตรายเป็นต้องพยายามหนีห่างให้ไกลที่สุด หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นกลับเป็นอันตรายยิ่งกว่า

    ทางโค้งข้างหน้าอันตรายก็จริง แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ เลี้ยวโค้งอย่างระมัดระวัง มิใช่หนีห่างทางโค้งนั้นไปให้ไกลที่สุด

    ขับรถย่อมต้องเจอโค้งอันตรายฉันใด การมีชีวิตในโลกนี้ย่อมหนีไม่พ้นความเสี่ยงฉันนั้น ใครที่พยายามหนีความเสี่ยงตลอดเวลา ย่อมประสบเหตุร้ายไม่ต่างจากชายผู้นี้ พูดอีกอย่างคือ ชีวิตที่ไม่ยอมเสี่ยงเลยคือชีวิตที่เสี่ยงที่สุด

    มีพ่อแม่เป็นอันมากที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกไกลจากเชื้อโรค เช่น ไม่ยอมให้เล่นดินเล่นทราย เพราะกลัวลูกจะเจ็บป่วย แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยได้มากกว่าเพราะไม่มีภูมิต้านทานเชื้อโรค มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเด็กที่เป็นโรคมือเท้าปากนั้นมักจะมาจากครอบครัวที่อนามัยจัด ในขณะที่เด็กชนบทหรือเด็กยากจนที่พ่อแม่ไม่ค่อยกวดขันเรื่องความสะอาดจะไม่มีปัญหานี้เลย

    เชื้อโรคนั้นเป็นอันตรายก็จริง แต่การได้สัมผัสมันบ้างก็มีประโยชน์ มีการวิจัยพบว่าเด็กที่อยู่ในสถานอนุบาลแม้สัมผัสเชื้อโรคมากกว่าเด็กที่เลี้ยงในบ้านก็จริง แต่ก็มีโอกาสเป็นหอบหืดแค่ครึ่งเดียวของเด็กที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน อีกทั้งมีโอกาสเป็นหวัดแค่ ๑ ใน ๓ เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน นอกจากนั้นยังพบว่าเด็กที่มีพี่น้องอยู่ร่วมกันมีโอกาสเป็นหวัดแค่ ๑ ใน ๒ เมื่อเทียบกับเด็กที่เป็นลูกคนเดียว เหตุผลก็เพราะเด็กที่อยู่ด้วยกันหลายคนมีโอกาสได้รับเชื้อจากกันและกัน จึงทำให้มีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น

    การให้ลูกได้สัมผัสกับเชื้อโรคบ้าง แม้จะเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยก็จริง แต่การไม่ยอมให้ลูกได้สัมผัสเชื้อโรคเลย กลับทำให้ลูกเสี่ยงต่ออันตรายที่รุนแรงยิ่งกว่า

    เส้นทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ชีวิตไม่อาจเจริญก้าวหน้าได้เลยตราบใดที่เราหลีกหนีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่กล้าเสี่ยง อย่างเดียวที่ทำได้คืออยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่ขืนทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเป็นฝ่ายตั้งรับให้ความทุกข์โหมกระหน่ำอย่างเดียว มิไยต้องเอ่ยว่าชีวิตจะควรค่าแก่การอยู่ได้อย่างไรหากไม่กล้าทำอะไรเลย หากปรารถนาความสำเร็จก็ต้องไม่กลัวความล้มเหลว ในทำนองเดียวกันหากปรารถนาชีวิตที่ผาสุกก็ต้องไม่กลัวความทุกข์ อันที่จริงนอกจากจะไม่กลัวแล้ว ควรอ้าแขนต้อนรับด้วย เพราะความล้มเหลวคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ อย่างน้อยมันก็ให้บทเรียนที่ช่วยให้เราฉลาดและจัดเจนขึ้น

    เช่นเดียวกันความทุกข์ก็เป็นปัจจัยแห่งความสุข คนเราจะสุขได้ก็เพราะมีภูมิต้านทานความทุกข์ แต่ภูมิต้านทานดังกล่าวจะมาจากไหนหากไม่เจอความทุกข์บ่อย ๆ

    คนที่ไม่เคยพบกับความผิดหวังเลยตั้งแต่เล็กจนโต ได้รับการตามใจมาโดยตลอด เพียงแค่อกหัก สอบเข้าไม่ได้ ก็หนักหนาพอที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมจนคิดสั้นได้ ตรงข้ามกับคนที่เจอความไม่สมหวังอยู่บ่อย ๆ จะสามารถรับมือกับปัญหาชีวิตได้ดีกว่า

    อันตรายหรือความทุกข์มิใช่สิ่งที่ต้องถอยหนีอย่างเดียว เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างไม่ประมาท หรือใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด เช่นเดียวกับโค้งอันตรายที่หากขับอย่างระมัดระวัง ก็สามารถพาเราไปถึงจุดหมายปลายทางได้
    :- https://visalo.org/article/Image255305.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2025 at 23:11
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,435
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,096
    มองตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น
    ภาวัน
    “จันทิมา” มีแม่ที่เริ่มเป็นอัลไซเมอร์ หลงลืมเป็นประจำ เวลาหาของไม่เจอ จะมีอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่าย อีกทั้งมีเรื่องวิตกกังวลต่าง ๆ นานา หน้าตาหม่นหมอง อารมณ์พลุ่งพล่านได้ง่าย

    จันทิมาไม่สบายใจที่แม่เป็นเช่นนี้ พยายามบอกให้แม่ปล่อยวาง หาของไม่เจอไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เจอเอง อย่าไปกังวลมาก แต่พูดเท่าไรก็ไม่เป็นผล ทำให้เธอยิ่งเครียด ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่ยอมปล่อยวางบ้าง

    จันทิมาอยากให้แม่ปล่อยวาง แต่เธอกลับไม่เฉลียวใจเลยว่า ตัวเธอเองก็ปล่อยวางไม่ได้ เป็นทุกข์ทุกครั้งที่เห็นแม่ไม่เป็นดั่งใจ ในเมื่อตัวเธอเองยังปล่อยวางไม่ได้ แล้วจะไปคาดหวังให้แม่ ซึ่งมีสุขภาพจิตย่ำแย่กว่าเธอ ปล่อยวางได้อย่างไร

    จะว่าไปแล้วความเครียดของเธอ มีส่วนไม่น้อยทำให้แม่มีอาการกระวนกระวายหนักขึ้น เพราะถึงแม้ความจำและความคิดจะเสื่อมทรุด แต่ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ยังสามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนรอบข้างได้ผ่านสีหน้าและน้ำเสียง กล่าวอีกนัยหนึ่งความเครียดของจันทิมาสามารถถ่ายเทไปยังแม่ของเธอได้

    ถ้าเธออยากให้แม่ปล่อยวาง เธอก็ต้องเป็นฝ่ายปล่อยวางก่อน ถ้าเธอยังปล่อยวางไม่ได้ อย่างน้อยก็จะเข้าใจได้ว่าทำไมแม่จึงไม่ยอมปล่อยวางบ้าง ความเข้าใจดังกล่าวย่อมช่วยให้เธอเป็นทุกข์น้อยลง ยอมรับสภาพความเป็นจริงของแม่ได้มากขึ้น การยอมรับดังกล่าวย่อมช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ของเธอกับแม่ดีขึ้น และเมื่อเธอเป็นทุกข์น้อยลง ก็ย่อมส่งผลดีต่ออารมณ์ของแม่ด้วย ยิ่งเธอสามารถปล่อยวางได้มากขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อได้อยู่กับแม่ ก็จะโน้มน้าวอารมณ์ของแม่ให้พลอยดีขึ้นด้วย

    การช่วยเหลือผู้ป่วยนั้น ควรเริ่มจากการดูแลรักษาใจของผู้ดูแลให้ดีก่อน การเรียกร้องหรือแนะนำพร่ำสอนผู้ป่วยให้รู้จักวางใจมักไร้ผล หากผู้ดูแลลืมมองตน และไม่สนใจที่จะปฏิบัติตนอย่างเดียวกับที่เรียกร้องผู้ป่วย สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนที่ชอบเรียกร้องผู้อื่นให้ปล่อยวางนั้น ตนเองมักทำใจปล่อยวางไม่ค่อยได้ จะว่าไปแล้วสาเหตุที่ผู้คนชอบเรียกร้องผู้อื่นนั้นมักเป็นเพราะลืมเรียกร้องตนเอง ใคร ๆ ก็อยากเห็นคนอื่นเปลี่ยนแปลง แต่ละเลยที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน

    บ่อยครั้งเรามักมองว่าคนอื่นเป็นปัญหา แต่ไม่เฉลียวใจว่าตนเองก็เป็นปัญหาหรือมีส่วนทำให้เกิดปัญหานั้นด้วยเช่นกัน พ่อแม่ที่กลุ้มใจเพราะลูกไม่ยอมฟังตนนั้น หากสืบสาวไปก็จะพบว่าเป็นเพราะพ่อแม่ไม่ยอมฟังลูกก่อน ถนัดแต่การบังคับ ชี้นิ้ว หรือสั่งสอนอย่างเดียว ไม่สนใจแม้แต่จะถามว่าลูกคิดหรือรู้สึกอย่างไร ลูกที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ พอโตขึ้นก็ไม่ฟังพ่อแม่เช่นเดียวกัน

    ปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการเรียกร้องให้ลูกฟังพ่อแม่มากขึ้น แต่แก้ได้ด้วยการที่พ่อแม่เป็นฝ่ายฟังลูกก่อน ไม่ด่วนตัดสินเมื่อเห็นลูกทำอะไรที่ขัดตาขัดใจ แต่ควรถามเหตุผลของลูกก่อน เมื่อใดที่พ่อแม่เปลี่ยนแปลงตนเองได้ ความเปลี่ยนแปลงของลูกก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

    เป็นเพราะลืมมองตน ผู้คนจึงมักสร้างปัญหาหรือมีส่วนทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อใดที่คิดจะแก้ปัญหา ควรหันมาสำรวจตนเองก่อนที่จะเรียกร้องหรือจัดการคนอื่น แม้แต่การช่วยคนอื่นก็เช่นกัน เพียงแค่ดูแลตนเองให้ดีก็สามารถช่วยคนอื่นได้มาก ภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ว่า “เมื่อรักษาตน ก็เท่ากับรักษาผู้อื่น(ด้วย)” ไม่ล้าสมัยเลย แม้กาลเวลาจะผ่านมาร่วม ๒,๖๐๐ ปี
    :- https://visalo.org/article/Image255802.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...