เจ้ากรรมนายเวรแตกต่างจากศัตรูอย่างไร หรือว่าเป็นสิ่งเดียวกันคะ? เข้าใจว่าเจ้ากรรมนายเวร คือคนหรือสัตว์ที่เราเคยเบียดเบียน ทำให้เขาโกรธ แค้นใจ จนอาฆาตข้ามภพชาติ เขาจะมาทำให้เราตกต่ำหรือทำให้เราเดือดร้อนหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่มีความสุข แต่เราและเขาต่างให้อโหสิกรรมต่อกันและกันได้ เหมือนคดีที่ยกฟ้องไม่เอาความกัน แต่ศัตรูนี่ก็เข้าใจว่าเจตนา คล้ายๆกัน แล้วศัตรูนี่ทำให้เลิกขาดจากกันได้ไหมคะ เราไปทำอะไรไว้เขาจึงตั้งตัวเป็นศัตรูของเรา? แล้วเจ้ากรรมนายเวรกับศัตรูอันไหนที่เราเจอแล้วหนักกว่ากัน? ...... เวลาที่เราทำความดี ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระดิฉันจะอุทิศให้ทั้งสอง แต่ก็ให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อยกว่า .... รู้สึกว่าคำว่าศัตรูนี่นอกจากจะเฉพาะบุคคลทั่วไปแล้ว ยังเกี่ยวกับชนชาติหรือประเทศ ที่ก็ต่างมีศัตรูเหมือนกัน. ก็ขอทางสว่างด้วยค่ะ รู้สึกว่าตัวเองศัตรูเยอะจังทั้งที่ปรากฏตัวและไม่ปรากฎ แต่ก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่จากศัตรูกลายมาเป็นเพื่อนกันแต่กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ก็บอบช้ำทั้งสองฝ่ายเลย จนถึงวันนี้ก็ไม่กล้าถามเขาตรงๆว่าทำไมจึงตั้งตนเป็นศัตรูกับดิฉันในตอนน้ัน เพราะเขามีวัยที่สูงกว่าเลยเกรงใจและเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ... ขอคำแนะนำด้วยค่ะ สาธุ...
เจ้ากรรมนายเวรก็คือคนที่เขาอาฆาตพยาบาทเรา จะด้วยเรื่องที่สมควรหรือไม่ สมควรก็แล้วแต่ ต่างกับศตรูอย่างไรก็ต่างกันตรงที่ ถ้าเราบอกว่าใครเป็นศตรู ของเราคนนั้นก็เป็นศตรูของเรา ถ้าไม่รับว่าเขาเป็นศตรูของเราถึงจะจองเวรเรา ยังไงก็ไม่ใช่ศตรูของเราอยู่ดี ดังนั้นเราเป็นคนตัดสินว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นศตรู ของเราหรือไม่ เราจะจองเวรเขากลับหรือไม่ ส่วนเรื่องการอโหสิกรรมกันก็ทำได้ แต่คงไม่เรื่องง่าย อย่างเวลาที่คนรักกันไม่มีใครที่จะคิดว่าความรักนี้จะยืนยาวไป ได้ตลอด แต่เวลาที่คนเกลียดแค้นกันเรากลับเชื่อว่าต้องเกลียดกันไปตลอด ไม่มี ใครคิดเลยว่าเขาจะเกลียดเราไม่นาน มันเลยเกิดการจองเวรข้ามภพ ข้ามชาติขึ้น และการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ต้องทำใช่ไหมอย่างถ้าเรา เคยไปทำไม่ดีกับใครไว้ถึงเวลาเขาเอาคืนเราอยากให้เขาให้อภัยเราก็ต้องขอ โทษบ่อยๆ ทำดีกับเขาบ่อยๆ
แล้วศัตรูที่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน เช่นเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวในชาตินี้แล้ว มันอยู่ที่เราจะรับหรือไม่รับว่าเขาเป็นศัตรูเหรอคะ? แม้อีกฝ่ายจะตั้งตนขึ้นมาเป็นศัตรูเรา
ศัตรู = Active = เราคิดว่าเขาเป็น "ศัตรู" แต่เขาอาจจะไม่ได้เป็น เจ้ากรรมนายเวร = Passtive = เราไม่คิดว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่เขาก็ยังเป็น ต่างหรือไม่ต่าง ก็ไม่สำคัญ จะทำให้เขาเลิกอาฆาตพยาบาทได้หรือไม่ได้ ก็ไม่สำคัญ ความสำคัญ อยู่ที่เราอโหสิกรรมให้เขาได้หรือไม่ ก็พอแล้ว
คงเข้าใจความหมายไม่ตรงกัน คำว่า "ศตรู" ในความหมายของผม เป็นคำที่บุรุษที่ 1 หรือตัวผู้พูด ใช้เรียกบุรุษที่ 2 หรือบุรุษที่ 3 พูด ง่ายๆ ว่าเป็นคำที่เราใช้เรียกผู้อื่นเท่านั้น เขาจะไม่มีสถานะเป็นศตรู ของเราเว้นแต่เราจะเรียกเขาอย่างนั้น ดังนั้นอีกฝ่ายไม่สามารถจะตั้ง ตนเป็นศตรูของคุณได้ เพราะคนที่ตั้งให้เขาเป็นศตรูได้มีแต่คุณเท่า นั้นนี่คือความหมายของผมครับ ดังนั้นเขาอาจจะตั้งตัวเป็นปฏิปกษ์ กับคุณได้ แต่คุณเป็นคนบอกว่าเขาจะเป็นศตรูกับคุณหรือไม่ ขอโทษ ที่ทำให้สับสนและเข้าใจผิดครับ
ขอบคุณมากที่ให้ความสว่างค่ะ ทีนี้ก็เข้าใจคำว่า"ศัตรู" อย่างแจ่มแจ้งล่ะ งั้นดิฉันคงจะไม่มีศัตรูตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ที่เหลือคงเป็นเจ้ากรรมนายเวร เวลาแผ่เมตตาคงต้องตัดคำว่าศัตรูออก. อนุโมทนากับคำตอบค่ะ
เวรหมายถึงความผูกอาฆาตพยาบาท เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเรางดเว้นการจองเวรผู้อื่นด้วยการ ทำร้ายเขา ใช้ให้ผู้อื่นทำร้าย เอา ชนะเขา ใช้ให้ผู้อื่นเอาชนะ เวรหรือความผูกอาฆาตพยาบาทก็ตั้งอยู่ไม่ ได้ เมื่อนั้นเราก็เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่ต้องชิงดีชิงเด่น อยู่เหนือทั้งชนะและแพ้
เราก็ไม่รู้นะว่าต่างกันยังไง รู้อย่างเดียวว่าใครจะยังไงกับเรา ก็แล้วแต่ หน้าที่ของเราคือการปฏิบัติธรรม แล้วทุกอย่างจะดีเอง จนตอนนี้มองไปไหนเจอแต่กัลยาณมิตร
คุณรุ้งดาว.... ..เอ้อ...ไอ้ที่ง่ายๆก็กลับงงเสียนี่... ...ศัตรู....คือ คนหรือสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่... เจ้ากรรมนายเวร...คือ ...คนหรือสัตว์มี่ตายไปแล้ว... ..นี่เข้าใจหยาบๆแบบนี้ก็พอแล้ว.... ....คราวนี้ คุณก็สามารถ แยก มิตร หรือ ศัตรูได้แล้ว... ...ศัตรูในชีวิตมนุษย์...ก็ใช้หลักเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา....ทำได้ เราก็ไม่มีศัตรู.... แต่ถ้าทำไม่ได้ ...ก็มีศัตรู... ...เจ้ากรรมนายเวรในชีวิตมนุษย์...เนื่องจากเราไม่รู้ในอดีตชาติ...จึงจำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาตอนทำบุญ...ถ้าเขาได้รับก็ดีไป เบาไป แต่ถ้าเขาไม่ได้รับ ก็หนัก...โดยกฏแห่งกรรมระบุว่า ทำบาป ต้องชดใช้ หนีไม่ได้.....จบ.
นั่นสิคะ บางทีเรื่องง่ายๆก็งงแยกไม่ออก ขอบคุณค่ะที่ชี้แนะ ศัตรูนั้นเราเมตตาและไม่โกรธตอบหรือเฉยๆเราก็ไม่มีศัตรู แต่ตอนนี้ก็ไม่มีศัตรูแล้วค่ะเพราะไม่รับว่าใครเป็น ตอนแรกยังคิดว่าคำว่าศัตรูจะหนักกว่าซะอีก
แง่คิดจากงานศพครับ กุศลาธรรมมา กรรมที่เป็นกุศล อกุศลาธรรมมา กรรมที่เป็นอกุศล อัพยากตาธรรมมา กรรมที่เป็นกลางๆ คือไม่บวกและลบ การรู้จักวางใจไว้ ณ ที่ๆควรสำคัญครับ คือ การถืออุเบกขา ต่อกรรมที่เป็นทั้งกุศลและอกุศล คือหนทางนำไปสู่ อัพยากตาธรรมาครับ ปฏิบัติบ่อยๆจนน้อมนำเข้าใส่ใจเราเรื่อยๆ เป็นอีกหนทางหนึ่งที่นำไปสู่สภาวะ สังขารุเปกขาญาณ ครับ
อัพยากตาธรรมา คือการถืออุเบกขาต่อกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าเราทำเรื่อยๆจนชินสามารถเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ. .. เข้าใจถูกใช่ไหมคะ อนุโมทนา สาธุค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ พยายามอยู่เหมือนกันค่ะ สำหรับข้อความข้างหลัง หนทางแห่งโลกธรรมสำหรับดิฉันเหมือนเด็กอนุบาลที่เริ่มต้นเรียนรู้ ยังห่างอีกหลายขั้นนัก ทั้งอวิชา ทั้งกิเลส ทั้งเวลา ทุกอย่าง ดิฉันเริ่มต้นที่ใจเพราะเริ่มเห็นทุกข์แต่สุดท้ายและท้ายสุดก็ต้องขอขอบคุณความทุกข์ขอบคุณคนที่เข้ามามีส่วนทำให้เราทุกข์ มาแล้วผ่านไปให้เหลือแต่ทุกข์แต่ที่ได้มากกว่านั้นทำให้ดิฉันเห็นทุกข์ จึงเข้าหาธรรมเพื่อหาเหตุดับทุกข์ อนุโมทนาค่ะ
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพละห้า ครับ ในการที่จะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจในหลักธรรม มีความศรัทธาอยู่แล้วนี่ครับ สำคัญที่สุดต้องศรัทธาในตนเองก่อนครับ ก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขอให้เจริญในธรรมพระสัมมา ครับ